ชี้วิกฤตเศรษฐกิจมะกัน ฉุดส่งออกกลุ่ม SMEs ไทย ยอดหด 5 หมื่นล้าน แจงสาขาเกี่ยวเนื่องอสังหาฯ การท่องเที่ยว และฟุ่มเฟือย แนวโน้มอันตราย ชี้ปัญหาลากยาวถึงสิ้นปีหน้า แนะปรับตัวลดต้นทุนเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ วอนรัฐบาลให้ความสำคัญกับเอสเอ็มอีอย่างจริงจังเสียที
ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการโครงการศึกษาวิเคราะห์และเตือนภัย SMEs รายสาขา สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เผยว่า จากวิกฤตสถาบันการเงินของสหรัฐฯ จะส่งกระทบต่อธุรกิจเอสเอ็มอีไทยเช่นกัน โดยเฉพาะภาคการส่งออก จากที่เคยคาดการณ์ไว้ว่า นับถึงสิ้นปีนี้ (2551) ส่งออกภาคเอสเอ็มอีไทย โตประมาณ 10.69% มูลค่า 1.75 ล้านล้านบาท เหลือประมาณ 7-8% มูลค่า 1.70 ล้านล้านบาท หรือยอดส่งออก ลดลงกว่า 50,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ มูลค่าที่ลดลง มาจากหลายปัจจัย เช่น ผลกระทบดังกล่าวจะลามไปสู่นานาประเทศ ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกภาวะชะลอตัว ผู้บริโภคทั่วโลกไม่ยอมใช้จ่าย เมื่อรวมกับปัจจัยลบภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการขาดความเชื่อมั่นเพราะปัญหาการเมือง ต้นทุนผลิตที่สูง เงินเฟ้อ เป็นต้น ล้วนแต่ทำให้ยอดส่งออกมีแนวโน้มปรับลดลง
สำหรับสาขาธุรกิจที่มีแนวโน้มเสี่ยงสูง จะเป็นกลุ่มสาขาที่เกี่ยวเนื่องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งเครื่องจักร อิเล็กทรอนิกส์ พลาสติก เป็นต้น รวมถึงไป อุตสาหกรรมท่องเที่ยว และสินค้าฟุ่มเฟือยด้วย เช่น การบิน สิ่งทอ แฟชั่น เครื่องหนัง เป็นต้น
ดร.ณัฐพล ระบุต่อว่า แม้ว่าขณะนี้รัฐบาลสหรัฐฯ จะอัดฉีดเงินกว่า 7 แสนล้านดอลลาร์เพื่อพยุงสถาบันการเงิน แต่คิดว่าจะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นแค่ระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะกว่าที่มาตรการจะเริ่มเห็นผลต้องใช้ระยะเวลาอีกไม่น้อยกว่า 6 เดือน ดังนั้น วิกฤตการเงินของสหรัฐฯ ครั้งนี้ คาดจะต่อเนื่องยาวนานไปจนถึงสิ้นปีหน้า (2552)
สำหรับผู้ประกอบการไทยแล้ว การปรับตัวนอกเหนือจากการหาตลาดใหม่ ควรเน้นลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น ควบคู่กับเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าหรือบริการของตัวเอง ขณะเดียวกัน ภาครัฐบาลต้องให้ความสำเร็จกับการช่วยเหลือเอสเอ็มอีไทยอย่างจริงจังเสียที โดยมีแผนทั้งระยะสั้น เน้นแก้ไขเฉพาะหน้าเกี่ยวกับ ปัญหาต้นทุนของเอสเอ็มอีและสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนและผู้บริโภค ระยะกลาง เตรียมพร้อมเพื่อการแข่งขัน และระยะยาว สร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันให้เอสเอ็มอีไทย
