การรับประทานปลาดิบกับวาซาบิ ถือเป็นของคู่กัน แต่ใครจะเชื่อว่าเครื่องเคียงประจำประเทศญี่ปุ่นอย่าง “วาซาบิ” จะถูกส่งออกมาจากประเทศไทยล้วนๆ จากฝีมือคนไทย และวัตถุดิบที่เคยปลูกในไทยในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ แม้ขณะนี้ไม่ได้ใช้พื้นที่ในไทยปลูกแล้วก็ตาม แต่คนไทยยังถือเป็นผู้ส่งออกวาซาบิส่งขายทั่วโลกเช่นเดิม
แนวความคิดในการผลิตวาซาบิเพื่อจำหน่ายนั้น นายปรีชา โกวิทยา กรรมการผู้จัดการบริษัท ลานนาโปรดักส์ จำกัด ได้ย้อนอดีตให้ฟังว่า เมื่อ 20 ปีที่แล้ว มีเพื่อนชาวญี่ปุ่นได้บอกว่าขณะนี้วาซาบิ เริ่มขาดตลาด และราคาก็พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอาหารญี่ปุ่นในช่วงนั้นเริ่มกระจายไปทั่วโลก ส่งผลให้สิ่งที่ต้องรับประทานคู่กับอาหารญี่ปุ่นอย่างวาซาบิ เป็นที่ต้องการของทั่วโลก ดังนั้นเพื่อสนองความต้องการของตลาด เพื่อนชาวญี่ปุ่นจึงชักชวนให้ปลูกต้นวาซาบิในประเทศไทย ซึ่งนายปรีชา ก็ตกลงทันที ทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นต้นวาซาบิมาก่อน และไม่เคยมีความรู้เกี่ยวกับงานเกษตรใดๆ เลย
“เมื่อผมตัดสินใจปลูกต้นวาซาบิ เพื่อนจึงให้หาพื้นที่ที่เหมาะสมในการปลูกต้นวาซาบิ คือ พื้นที่ต้องเย็น มีน้ำ และมีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,600 เมตรขึ้นไป โดยพื้นที่ที่เหมาะสมในขณะนั้นคือที่ จ.เชียงใหม่ ซึ่งผมก็ได้ตั้งโรงงานปลูกพืชผักเมืองหนาวควบคู่ไปด้วย แต่เมื่อปลูกต้นวาซาบิไปได้สักระยะหนี่ง ทำให้ผมมีประสบการณ์จากการหาความรู้ด้านนี้อย่างต่อเนื่อง ทำให้รู้ว่าแม้ประเทศไทยจะปลูกวาซาบิได้ แต่คุณภาพอาจเทียบไม่ได้กับวาซาบิต้นตำรับที่ปลูกในญี่ปุ่น เนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกัน ส่งผลให้ต้องดูแลเป็นพิเศษ ให้ปลอดภัยจากแมลง และควบคุมผลผลิตให้ได้ตามต้องการ ซึ่งสุดท้ายจากปัญหาที่ตามมา ทำให้ผมตัดสินใจหาพื้นที่ปลูกต้นวาซาบิ แห่งใหม่ โดยเริ่มที่ลาว ได้ 2 ปี แต่ก็ต้องล้มเหลว จึงย้ายมาที่อินโดนีเซีย เนื่องจากมีทำเลที่ค่อนข้างเหมาะสม เพราะมีอากาศเย็น ในขณะเดียวกันก็มีภูเขาที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 3,000 เมตร คือ ที่เมืองเซมารัง (Samarung)”
เมื่อนายปรีชา ต้องประสบกับปัญหาหลายด้าน โดยเฉพาะเรื่องพื้นที่เหมาะสมในการปลูกต้นวาซาบิ สุดท้ายก็มาลงตัวที่ประเทศอินโดนีเซีย ที่ปลูกแล้วได้ผลผลิตดีกว่าเมืองไทย ต่อมานายปรีชา ก็ค้นพบว่า ที่ตรงไหนสามารถปลูกชาได้ ก็ปลูกวาซาบิได้เช่นกัน ฉะนั้นทำเลอย่างประเทศจีนจึงเหมาะสมที่สุด เพราะจีนเป็นประเทศที่ผลิตชาเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
“ที่ประเทศจีนเราปลูกที่คุนหมิงก่อน และขยับไปที่ยูนาน ต้าลี่ และลี่เจียง ซึ่งขณะนี้พื้นที่รวมประมาณกว่า 1,000 ไร่ ซึ่งทางบริษัทฯ ไม่ได้ปลูกเอง แต่เป็นการรับซื้อจากเกษตรกรโดยตรง ซึ่งแตกต่างจากประเทศอินโดนีเซีย ที่เราต้องเช่าที่ปลูก แต่ที่จีนรับซื้ออย่างเดียว ไม่ต้องเสียค่าเช่าที่ ดังนั้นเมื่อผมเห็นศักยภาพที่มีความพร้อมในทุกๆ ด้านของจีน ทำให้ลดพื้นที่ปลูกลงเรื่อยๆ และคาดว่าภายในปีนี้ (2551) จะย้ายพื้นที่ปลูกมาที่ประเทศจีนทั้งหมด โดยต้องการลดต้นทุนการผลิตในทุกด้าน เช่น การขนส่ง ค่าแรงงาน และโรงงานผลิต ที่ปัจจุบันได้ย้ายมาที่จีนเกือบ 100% แล้ว”
สำหรับในไทยถือว่าวาซาบิที่คนไทยรับประทานอยู่ในขณะนี้ มาจากบริษัทลานนาโปรดักส์ล้วนๆ รวมถึงวาซาบิที่นำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น ดังนั้นจึงไม่แปลกที่นายปรีชา จะได้รับรางวัล 'Bualuang SME Awards' จากธนาคารกรุงเทพ ด้วยความโดดเด่นทางด้านการทำวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมูลค่าสูงอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันบริษัท ลานนาโปรดักส์ จำกัด เรียกได้ว่าเป็นผู้นำด้านวาซาบิแบบครบวงจรของไทย เพราะนอกจากจะทำวาซาบิที่รับประทานกับปลาดิบ ตามแบบฉบับที่คนไทยคุ้นเคยแล้ว นายปรีชา ยังผลิตผงวาซาบิ วาซาบิก้อนเปียกบรรจุซอง หัววาซาบิสดสำหรับส่งออก และซอสวาซาบิ สำหรับรับประทานกับสเต็ก ซึ่งการปรับเปลี่ยนรูปแบบวาซาบินี้ เพื่อสร้างความหลากหลายให้แก่ผู้ที่ชื่นชอบการรับประทานวาซาบิร่วมกับอาหารหลากหลายประเภท และเพื่อสะดวกในการขนส่งและพกพา
***สนใจติดต่อ 0-5358-1170-5 หรือที่ www.lannaproducts.com***