“สมชัย สัจจพงษ์” แจงข้อพิพาททางกฎหมายกรณีบัตรเงินฝาก "เอฟอาร์ซีดี" ระหว่างเอสเอ็มอีแบงก์-สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (SCBT) ไม่ได้ดำเนินการตามมติบอร์ด ส่งผลให้ธุรกรรมเป็น "โมฆะ" ไม่ต้องจ่ายค่าปรับให้ SCBT พร้อมชง ป.ป.ช.สอบสวนเจ้าหน้าที่เตรียมฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหาย 4 ราย สอบวินัย 3 ราย ตักเตือนทางวาจาสถานเบาอีก 3 รายพร้อมยืนยันเป็นคดีระหว่างนิติบุคคล 2 แห่งเท่านั้นไม่ผูกพันกับสัญญาของหน่วยงานรัฐแห่งอื่นแต่อย่างใด
นายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะประธานกรรมการบริหาร ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์ เปิดเผยว่า ข้อพิพาทระหว่าง ธพว.และธนาคารแสตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน) SCBT เรื่องสัญญาการจัดทำธุรกรรมอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (ซีซีเอส) และอัตราดอกเบี้ย (ไออาร์เอส) แบบซับซ้อน ที่เป็นผลมาจากการออกบัตรเงินฝากอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (เอฟอาร์ซีดี) จำนวน 300 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 11,400 ล้านบาท ซึ่งอาจสร้างความเสียหายให้ธนาคารถึง 3 พันล้านบาท นั้น จากการตรวจสอบธุรกรรมดังกล่าวแล้วไออาร์เอสมีการเก็งกำไรและกำหนดเงื่อนไขให้อัตราดอกเบี้ยที่ ธพว.ต้องจ่ายผูกติดกับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในตลาดลอนดอนซึ่งที่ผ่านมาอยู่นอกขอบเขตที่ตกลงกันไว้ ดังนั้นจะมีผลให้ตั้งแต่วันที่ 22 ม.ค.51 จนสิ้นสุดอายุสัญญาในปี 54 ธพว.จะต้องจ่ายเบี้ยปรับถึง 3 พันล้านบาท ซึ่งเรื่องดังกล่าวไม่ได้ดำเนินการตามมติคณะกรรมการธนาคารในเดือนพ.ค.49 ที่กำหนดให้ทำไออาร์เอสแบบไม่เก็งกำไร เรื่องนี้จึงสงสัยได้ว่ามีการสมรู้ร่วมคิดระหว่างพนักงาน ธพว.และบุคคลภายนอกเพื่อหาประโยชน์ จึงได้แจ้งให้สแตนดาร์ดฯรับทราบว่าธุรกรรมไออาร์เอสเป็นโมฆะ ธพว.จะไม่ชำระเบี้ยปรับจากไออาร์เอสให้แสตนดาร์ดฯ
นอกจากนี้จะดำเนินการลงโทษด้านวินัยแก่พนักงานที่เกี่ยวข้อง และเห็นควรกล่าวโทษร้องทุกข์ความผิดทางอาญาแก่พนักงานและผู้บริหารที่เกี่ยวข้องไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้สอบสวนข้อเท็จจริงจำนวน 4 ราย และหาก ธพว.จะต้องเสียหายใดๆให้เรียกค่าเสียหายทางแพ่งกับบุคคลดังกล่าวแต่ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อดังกล่าวได้ รวมถึงจะมีสอบวินัยภายในอีก 3 ราย และตักเตือนด้วยวาจาซึ่งเป็นโทษสถานเบาอีก 3 ราย
"ธพว.จะยังชำระดอกเบี้ยเอฟอาร์ซีดีที่ปรากฎตามสัญญาและยืนยันจะชำระดอกเบี้ยตามสัญญาซีซีเอสซึ่งชำระไปแล้ว 324 ล้านบาท แต่ขอปฏิเสธการชำระเบี้ยปรับตามสัญญา ไออาร์เอส ที่สแตนดาร์ดฟ้องร้องงวดแรก 323 ล้านบาท เนื่องจากธุรกรรมดังกล่าวเป็นโมฆะ ทั้งนี้ยืนยันปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่ข้อผิดพลาดทางการเงินเพราะเรามีเงินพร้อมที่จะชำระและเตรียมไว้แล้ว แต่เป็นข้อผิดพลาดทางกฎหมาย" นายสมชัยกล่าว
ทั้งนี้ จากการที่สแตนดาร์ดฯได้ฟ้องร้องธพว.ที่ศาลแพ่งเมื่อวันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมาถึงกรณีต้องชำระเบี้ยปรับไออาร์เอสนั้น ถือว่ากระทำได้และธพว.ก็ต้องการต่อสู้กันในกระบวนการศาล เพราะขณะนี้ธพว.มีข้อมูลและหลักฐานลับที่จะพิสูจน์ได้ว่ามีใครร่วมทำผิดบ้างและระบุได้ว่าสัญญาไออาร์เอสเป็นโมฆะ อย่างไรก็ตาม ธพว.ไม่คิดจะเบี้ยวหนี้ และคาดกรณีนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อรัฐวิสาหกิจอื่นๆและไม่สร้างความเสียหายให้ประเทศชาติจนนำไปสู่การลดอันดับความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงของรัฐบาลและประเทศ
ซึ่งจากการตรวจสอบสัญญาที่เอสเอ็มอีแบงก์ทำกับสแตนดาร์ดอย่างละเอียดแล้วพบว่าผลกระทบที่สแตนดาร์ดอ้างในข้างต้นนั้นไม่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น แม้ว่าธนาคารจะมีหน่วยงานรัฐถือหุ้น 100% แต่ถือเป็นนิติบุคคลที่แยกออกจากรัฐตามกฎหมายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จึงเป็นข้อผูกพันเฉพาะระหว่างนิติบุคคล 2 แห่ง ดังนั้นข้อพิพาททางคดีจึงไม่มีผลกระทบไปถึงการทำนิติกรรมของหน่วยงานรัฐอื่นด้วยและขอยืนยันย้ำว่าข้อพิพาทดังกล่าวเป็นเพียงข้อพิพาททางกฎหมายมิใช่ข้อพิพาทด้านการเงิน
ด้านฝ่ายประชาสัมพันธ์ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) แจ้งว่า ธนาคารยืนยันว่าธุรกรรมทางการเงินนี้ดำเนินการอย่างถูกต้อง มีผลผูกพันและผลบังคับใช้ทางกฎหมาย ที่ผ่านมาธนาคารเห็นแก่ความสัมพันธ์อันดีที่ยาวนานกับเอสเอ็มอีแบงก์ ธนาคารพยายามอย่างต่อเนื่องโดยให้โอกาสเอสเอ็มอีแบงก์ปรับโครงสร้างธุรกรรมในขอบเขตที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่เอสเอ็มอีแบงก์ไม่ตอบรับโอกาสที่ธนาคารเสนอให้ เพราะฉะนั้นธนาคารรู้สึกผิดหวังที่เอสเอ็มอีแบงก์แถลงวานนี้ กับการที่เอสเอ็มอีแบงก์ยังยืนกรานไม่ยอมปฏิบัติตามข้อผูกมัดทางสัญญาสำหรับกรณีข่าวที่ว่าธนาคารฟ้องเอสเอ็มอีแบงก์นั้น ธนาคารไม่พร้อมจะให้ความเห็น