ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เกี่ยวเนื่องกับความสวยความงามของผู้หญิงเป็นตลาดที่กำลังเติบโตอย่างมากในประเทศไทย เพราะด้วยความที่ผู้หญิงไทยต้องออกทำงานนอกบ้าน ต้องพบปะผู้คนความสวยงามจึงเป็นเรื่องจำเป็น และดูเหมือนว่าในปัจจุบันไม่ว่าผลกระทบจากเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไร ทุกคนจะต้องตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป แต่เรื่องความสวยความงามอย่างไรผู้หญิงก็ทุ่มทุนเต็มที่
เป็นที่มาของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เกี่ยวเนื่องกับความสวยความงามออกมามากมาย และที่ยอมทุ่มทุนโฆษณาอย่างมาก จนเป็นที่รู้จักอย่างผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบลิ๊งค์ ( Blink) ของบริษัท ที.ซี.แนลเชอรัล จำกัด ที่บริหารงานโดย นายปิติ กิตติธีรพรชัย ที่ได้นำรูปแบบของแฟรนไชส์เข้ามาเสริมช่องทางการจัดจำหน่ายบลิ๊งค์ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ที่กำลังมองหาอาชีพอิสระที่ต้องการเป็นเจ้าของกิจการเอง
นายปิติ เล่าถึงรูปแบบของแฟรนไชส์บลิ๊งค์ ว่า บริษัทได้จัดรูปแบบของร้านแฟรนไชส์เป็นแบบคีออส และเคาน์เตอร์ 3 ลักษณะ โดยแบ่งเป็นขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก พื้นที่เล็ดสุดประมาณ 4 ตารางเมตร และใหญ่สุดประมาณ 9 ตารางเมตร เงินลงทุนขึ้นอยู่กับขนาดของคีออสประมาณ 30,000 บาท ไม่เกิน 40,000 บาท ราคานี้ไม่รวมค่าเช่า และพนักงาน
สำหรับเงื่อนไขการเป็นแฟรนไชส์ร้านบลิ๊งค์ เสียค่าสิทธิ์การซื้อแฟรนไชส์ 40,000 บาท สัญญาการเป็นผู้รับสิทธิ์แฟรนไชส์ ต่ออายุปีละ 1 ครั้ง และผู้รับสิทธิ์แฟรนไชส์ ต้องสั่งสินค้าตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ การลงสินค้าครั้งหนึ่งประมาณ 20,000 บาทถึง 30,000 บาท โดยทางบริษัทไม่บังคับให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์ต้องลงสินค้าครั้งละมาก ซึ่งทางบริษัทจะจัดส่งสินค้าอาทิตย์ละ 2 ครั้งในกรุงเทพฯ และ อาทิตย์ละ 1 ครั้งในต่างจังหวัด
“โดยประเภทสินค้าของเรามีด้วยกันทั้งสิ้น 40 รายการ และมีแผนที่จะแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมาอีกหลายรายการ เพื่อให้ครอบคลุมลูกค้าในทุกกลุ่ม ซึ่งเป็นการการันตีในเรื่องของผลตอบแทนและความอยู่รอดของธุรกิจ ซึ่งเรายินดีจะรับคืนสินค้าถ้าผู้ซื้อแฟรนไชส์ไปแล้วล้มเหลว ไม่สามารถบริหารงานต่อได้ ที่เรากล้าออกมาการันตี เพราะเชื่อมั่นในชื่อเสียงของผลิตภัณฑ์ของเราที่มีมานานกว่า 7 ปี และเราก็ทำประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง จนเป็นที่รู้จักและเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป”
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดขายในลักษณะของคีออสของตัวเองมาแล้วจำนวน 25 สาขา และที่หันมาเปิดขายแฟรนไชส์ในครั้งนี้ ประการแรกทางบริษัทประสบปัญหาพนักงานขายหน้าร้านที่ให้บริการยังไม่เต็มที่เท่าที่ควร ดังนั้น ทางบริษัทจึงเปิดขายแฟรนไชส์ โดยต้องการให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์เป็นเจ้าของกิจการเอง เพราะการที่เจ้าของเป็นผู้ขายเองจะให้บริการได้เต็มที่มากกว่า นอกจากนี้ต้องการจะเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้ที่ต้องการจะเป็นเจ้าของกิจการ โดยไม่ต้องลงทุนสูง และผลตอบแทนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งเราเซ็ตไว้ที่ประมาณ 35%
ส่วนแผนการขยายสาขาในรูปของคีออสสแฟรนไชส์ ทางบริษัทตั้งเป้าขยายไว้ที่ 200 สาขา ที่เป็นของตัวเอง ประมาณ 50 สาขา และลูกค้ามาซื้อแฟรนไชส์ประมาณ 150 สาขา โดยแบ่งเป็นการขยายสาขาในกรุงเทพฯ 60 %ถึง 70% ส่วนที่เหลือเป็นการขยายสาขาในต่างจังหวัด โดยทำเลจะต้องเป็นพื้นที่ในชุมชน โดยยึดทำเลในศูนย์การค้าเป็นหลัก หรือ ถ้านอกศูนย์การค้าจะต้องเป็นแหล่งชุมชนอย่างเช่นในตลาดสด บางครั้งลูกค้าจะต้องยอมจ่ายค่าเช่าในราคาสูง แต่ผลตอบแทนออกมาจะคุ้มค่ากว่า
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทางบริษัทจะมีช่องทางการขายในหลายรูปแบบ แต่ราคาก็จะไม่แตกต่างกัน เพราะจะทำให้ไม่เกิดการแข่งขัน แต่เป็นการเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า และทางบริษัทยังเชื่อว่าแฟรนไชส์ยังมีช่องว่างที่สามารถเข้าถึงลูกค้าได้อยู่ โดยวัดจากร้านหรือ คีออสที่บริษัทเปิดให้บริการมาตั้งแต่เมื่อกลางปีที่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จ โดยยอดขายแต่ละสาขาประมาณเดือนละ 120,000 บาท ถึง 150,000 บาท
ทั้งนี้ ลูกค้าที่ซื้อแฟรนไชส์ควรที่จะมีรายได้ต่อเดือนจากยอดขายเดือนละไม่ต่ำกว่า 120,000 บาทถึงจะอยู่ได้ เนื่องจากแต่ละแห่งต้องเปิดในศูนย์การค้าหรือแหล่งชุมชนจะต้องมีค่าเช่าพื้นที่ที่ค่อนข้างสูง เช่น ค่าเช่าในศูนย์การค้าขั้นต่ำประมาณต่อเดือน 10,000 บาทขึ้นไป เฉลี่ยอยู่ที่เดือนละ 20,000 บาท ถึง 30,000 บาท
นายปิติ เล่าถึงการแข่งขันในธุรกิจผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในประเทศไทยว่า การแข่งขันถือว่าค่อนข้างสูง แต่ในทางกลับกันความต้องการสินค้าก็มีสูงเช่นกัน โดยเฉลี่ยอัตราการเติบโตในปีนี้อยู่ที่ประมาณ 7% ซึ่งความต้องการของตลาดไม่ได้ตกลงแม้ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ เพราะเป็นสินค้าที่เกี่ยวกับความสวยความงาม ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรผู้หญิงก็ไม่ยอมไม่ได้เรื่องความสวยงาม
โทร.0-2440-0440