จากโรงงานที่ผลิตลูกชิ้นขายตามตลาดสด ซึ่งทำกันในครอบครัว ได้กลายเป็นอุตสาหกรรมขนาดกลาง พร้อมโรงงานผลิตสินค้าที่ทันสมัยและได้มาตรฐาน เน้นวัตถุดิบจากปลาทะเลสด นำมาแปรรูปเป็นลูกชิ้น ไส้กรอก และเต้าหู้ปลา พร้อมทั้งยังได้ออเดอร์จากการรับจ้างผลิตสินค้าให้กับลูกค้าแบรนด์ใหญ่ระดับประเทศด้วย
พลาย พ่วงพี กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลายฟูดส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายไส้กรอก ลูกชิ้นปลา เต้าหู้ปลา และอาหารทะเลแปรรูป เล่าว่า เดิมธุรกิจของครอบครัวจะผลิตลูกชิ้นเนื้อ และไก่ ส่งขายตามตลาดสด ซึ่งเป็นหน้าที่ของแม่ และพี่สาว ช่วยกันทำ จนกระทั่งเมื่อปี 2545 ที่ผ่านมา เกิดโรคแอนแทคซ์ระบาด ทำให้ยอดขายลดลงอย่างมาก ประกอบกับนายพลาย เข้ามาช่วยดูแลกิจการด้วย จึงเริ่มมองหาวัตถุดิบอื่นเพื่อมาทดแทนเนื้อวัว และไก่ นั่นคือปลาทะเล ซึ่งตรงกับกระแสคนรักสุขภาพในช่วงนั้นพอดี ที่คนเริ่มหันมาบริโภคปลามากขึ้น
“หลังจากที่ผมเข้ามาช่วยดูแลธุรกิจการผลิตลูกชิ้นอย่างเต็มตัว ทำให้ต้องเริ่มศึกษาเรื่องการนำปลาทะเลมาแปรรูป ไม่ว่าจะเป็นไส้กรอก ลูกชิ้น และเต้าหู้ปลา รวมถึงต่อยอดเนื้อหมู และเนื้อไก่ มาโดยใช้ปลา 3 ชนิด คือ ปลาตาหวาน ปลาดาบ และปลาฤาษี เป็นวัตถุดิบหลัก ซึ่งจุดเด่นของสินค้าของบริษัทฯ คือ การสรรหานวัตกรรมใหม่ๆ มาทำเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปลาอยู่เสมอ อย่างเต้าหู้ปลา เราก็เป็นผู้บุกเบิกตลาดส่งออกในประเทศเป็นรายแรกๆ จนประสบความสำเร็จ ต่อมาจึงมีคู่แข่งรายอื่นผลิตตามอีกหลายราย”
เมื่อสินค้าเริ่มติดตลาดทางบริษัทฯ จึงคิดที่จะขยายตลาดที่นอกจากตลาดสด เล็งเจาะตลาดตามดิสเคาน์สโตร์ ทำให้ต้องเริ่มสร้างแบรนด์ขึ้น 2 แบรนด์ เพื่อการแบ่งตลาดให้ชัดเจน คือ “TGB และ Fisher” รวมถึงย้ายฐานการผลิตให้ใกล้แหล่งวัตถุดิบมากขึ้น คือที่ จ.สมุทรสาคร โดยสร้างโรงงานที่มีมาตรฐานระดับในไทย และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซึ่งการลงทุนในด้านมาตรฐานการผลิตทำให้ทางบริษัทฯ ต้องขอสินเชื่อจากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME BANK) จำนวน 18 ล้านบาท โดยนำมาสร้างโรงงานผลิต อาคารออฟฟิศ สร้างห้องเย็นที่สามารถเก็บวัตถุดิบได้ประมาณ 300 ตัน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการกักตุนวัตถุดิบ และทำการตลาด
ปัจจุบันทางพลายฟู้ดส์มีผลิตภัณฑ์ทั้งหมดประมาณ 40-50 รายการ ซึ่งสินค้าที่โดดเด่นคือ เต้าหู้ปลา (ถุงละ 60บาท) ปลาแผ่น (ถุงละ 50 บาท) และเบคอนเสียบไม้ (ถุงละ 50) ซึ่งยอดขายสินค้าทั้งของบริษัทฯ อยู่ที่หลักล้านบาท/เดือน แบ่งเป็นกำไรประมาณ 30% ซึ่งถือเป็นผลกำไรที่ลดน้อยลง เนื่องจากราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น ในขณะที่ทางบริษัทฯ ยังไม่มีนโยบายปรับในเรื่องของราคา
“เราอยู่วงการของอาหารทะเลแปรรูปมาหลายปี ทำให้มีลูกค้าหลากหลายกลุ่ม แม้ว่าจะแบ่งการขายออกเป็น 2 แบรนด์ก็ตาม ซึ่งแบรนด์ Fisher ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ติดตลาด เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคแล้ว ดังนั้นการที่จะขึ้นราคาสินค้าในช่วงนี้คงยังไม่เหมาะสมมากนัก เพราะถ้าไม่ขึ้นราคาเราก็อยู่ได้ เพียงแต่ได้กำไรน้อยลงเท่านั้น ประกอบในยุคนี้ หากใครผลิตสินค้าที่มีผู้บริโภคให้การตอบรับดี มักจะมีคู่แข่งตามมา ดังนั้นถ้าเราขยับราคาขึ้น อาจทำให้ลูกค้าไปเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีราคาถูกกว่าก็เป็นได้”
ส่วนแผนธุรกิจในอนาคตนายพลาย ตั้งใจจะผลิตสินค้าพรีเมียมมากขึ้น พร้อมเจาะตลาดอื่น เช่น โรงแรม โดยเน้นไปที่ไส้กรอกปลา หวังให้โรงแรมใช้กลยุทธ์นี้เป็นทางเลือกให้กับลูกค้าที่รักสุขภาพ ซึ่งการที่บริษัทฯ มองหาตลาดอื่นเพิ่มเติม เนื่องจากที่ผ่านมาคู่แข่งในตลาดเริ่มมากขึ้น ที่หันมาใช้ปลาเป็นวัตถุดิบหลักในการแปรรูปอาหาร
***บริษัท พลายฟูดส์ จำกัด อ.เมือง จ.สมุทรสาคร 034-428101-2***