xs
xsm
sm
md
lg

มจธ. ร่วมมือหน่วยงานพันธมิตร พัฒนา “Carbon Management Platform” ผลักดัน EEC สู่เป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net-Zero Emission

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกได้ก้าวเข้าสู่ภาวะวิกฤตที่ทุกประเทศต้องร่วมกันรับมืออย่างเร่งด่วน จากการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP) ผู้นำทั่วโลกได้ร่วมกันกำหนดเป้าหมายอันท้าทายเพื่อจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งนำมาสู่การประกาศเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero GHG Emission) โดยหลายประเทศและองค์กรขนาดใหญ่ได้กำหนดเส้นตายที่ชัดเจน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อห่วงโซ่อุปทานและภาคธุรกิจทั่วโลก โดยเฉพาะผู้ที่พึ่งพาการส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างสหภาพยุโรป (EU) ที่ได้เริ่มใช้มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) สำหรับสินค้าบางประเภท เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม และซีเมนต์ เพื่อป้องกันปัญหาการรั่วไหลของคาร์บอน (Carbon Leakage) ที่มีการย้ายฐานการผลิตของอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงไปยังประเทศที่ไม่มีมาตรการควบคุมที่เข้มงวด


สถานการณ์ดังกล่าวทำให้การปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมไทยไม่ใช่แค่ทางเลือกแต่เป็นความจำเป็นเพื่อการอยู่รอดทางธุรกิจและเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ประเทศไทยเองได้ประกาศเจตจำนงที่มุ่งมั่นสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065) ซึ่งการบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมซึ่งเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ


รศ.ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) กล่าวว่า ในฐานะสถาบันอุดมศึกษาที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อสังคมอย่างยั่งยืน มจธ. ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนวาระสำคัญระดับชาติ ด้วยการเปิดตัว “Carbon Management Platform” ซึ่งเป็นผลงานจากโครงการภายใต้แผนงานบูรณาการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โดยมีเป้าหมายหลักในการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ให้สามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero GHG Emission) ได้อย่างเป็นรูปธรรม

หัวใจของโครงการคือการพัฒนา “Carbon Management Platform” ซึ่งทำหน้าที่เป็นเครื่องมือดิจิทัลครบวงจรที่ช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถกำหนดเป้าหมาย ติดตามประสิทธิภาพ และบริหารจัดการคาร์บอนฟุตพรินต์ได้อย่างชาญฉลาด แพลตฟอร์มนี้ตอบโจทย์ความต้องการของวิสาหกิจตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ ด้วยการให้บริการที่ครอบคลุมสามด้านหลัก ได้แก่

1. การบริหารจัดการข้อมูลเชิงรุก (Proactive Data Management) ช่วยคำนวณและบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเป็นระบบ แม่นยำ และเป็นไปตามมาตรฐานสากล

2. การให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ ผู้ใช้งานสามารถนัดหมายเพื่อรับคำปรึกษาเฉพาะด้านจากทีมผู้เชี่ยวชาญของ มจธ. และพันธมิตร เพื่อช่วยวิเคราะห์ข้อมูล แนะนำการใช้เทคโนโลยีสะอาด และวางแผนกลยุทธ์เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนอย่างมีประสิทธิภาพ

3. การฝึกอบรมเพื่อเพิ่มศักยภาพบุคลากร ผ่านหลักสูตร e-Courses ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการจัดการคาร์บอนและความยั่งยืน เพื่อสร้างผู้เชี่ยวชาญภายในองค์กร


ผศ.ดร.เดี่ยว กุลพิรักษ์ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่าย Digital Transformation หัวหน้าโครงการ กล่าวว่า การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำไม่ใช่เรื่องซับซ้อนและไม่ใช่ภาระสำหรับผู้ประกอบการ แต่เป็นโอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ การพัฒนาแพลตฟอร์มนี้คือ ‘สะพาน’ ที่เชื่อมโยงองค์ความรู้และเทคโนโลยีไปสู่ภาคปฏิบัติ เพื่อช่วยผู้ประกอบการในพื้นที่ EEC เตรียมพร้อมและปรับตัวได้อย่างทันท่วงที ก่อนที่มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของนานาชาติจะส่งผลกระทบอย่างเต็มรูปแบบ


จากผลการดำเนินงานที่ผ่านมา โดยมหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี ได้ร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตร ประกอบด้วย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) และ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จัด Worshop พร้อมให้คำปรึกษาเชิงลึก สำหรับการประเมินการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเตรียมความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านมุ่งสู่ Net Zero แก่สถานประกอบการที่จัดขึ้นในพื้นที่ EEC รวม 3 ครั้ง มีผู้เข้าร่วมกว่า 282 ราย และมีผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนใช้งานแพลตฟอร์มแล้วไม่น้อยกว่า 250 ราย ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงความตื่นตัวและความพร้อมของภาคอุตสาหกรรมไทยที่จะก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

การจัดงานครั้งนี้สะท้อนถึงความสำเร็จและแนวทางการก้าวต่อไปของประเทศไทย ในการสร้างระบบเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและแข่งขันได้ในเวทีโลก


นอกจากพิธีแถลงข่าวแถลงข่าว “ความสำเร็จของโครงการฯ และแผนการต่อยอดโครงการ สู่ Sustainable Success” โดย รศ.ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และ ศ.ดร. นวดล เหล่าศิริพจน์ ผู้อำนวยการบัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) มจธ.




กำลังโหลดความคิดเห็น