John Steinbeck (1902-1968) นักประพันธ์ชาวอเมริกัน เจ้าของรางวัลโนเบลวรรณกรรมปี 1962 จากผลงานเขียนที่สำคัญเช่นเรื่อง “The Grapes of Wrath” (ปี 1946) และ “The Log from the Sea of Cortez” (ปี 1951) ได้เคยกล่าวถึงทะเลและมหาสมุทรว่า ถ้าไม่มีสัตว์ประหลาดซ่อนตัวอยู่เบื้องล่าง แหล่งน้ำนี้ก็จะเป็นดินแดนที่ไม่น่าตื่นเต้น เปรียบเสมือนกับการนอน ที่คนหลับไม่ได้ฝันเห็นอะไรๆ เลย
ด้านนักมานุษยวิทยาก็มีความเห็นในทำนองเดียวกันว่า ชนชาติต่าง ๆ ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนติดทะเล ก็มักจะมีจินตนาการและความเชื่อ ตลอดจนถึงเรื่องเล่าต่าง ๆ มากมายเกี่ยวกับสัตว์อสูรในทะเลลึก อาทิเช่น ที่สก็อตแลนด์มีตำนานเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งว่า เมื่อประมาณปี 565 ที่บริเวณใกล้ทะเลสาบ Ness ขณะนักบุญ St. Columba กำลังเทศน์ ได้มีสัตว์รูปร่างประหลาด คือ มีหัวเล็กเหมือนงู มีลำคอยาว และลำตัวยาวประมาณ 60 เมตร โผล่ชูคอขึ้นเหนือผิวน้ำ แล้วอ้าปากร้องเสียงดังกึกก้อง จนบรรดาสานุศิษย์ทุกคนพากันตกใจกลัว แต่เมื่อนักบุญ Columba โบกมือเป็นรูปไม้กางเขน ในทำนองห้ามมิให้สัตว์อสูรทำร้ายบรรดาศิษย์ มันก็เชื่อฟัง แล้วดำน้ำหายไป
เรื่องเล่านี้ได้กลายเป็นตำนานให้ผู้คนเชื่อ ตลอดเวลามานานนับพันปี แม้ในศาล คำพูดของคนทุกคนจะมีน้ำหนัก แต่ในวงการวิทยาศาสตร์ การอ้างว่าได้เห็น ได้ยิน มิได้มีน้ำหนักมาก เพราะการมีหลักฐานเชิงประจักษ์เท่านั้น ที่จะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อ ดังนั้นจึงได้มีคนพยายามถ่ายภาพของสัตว์อสูร บางคนได้พยายามบันทึกเสียง โดยใช้อุปกรณ์ sonar บันทึกเสียงใต้น้ำบางคนได้พยายามใช้แหอวนจับ ฯลฯ แต่ก็ไม่มีใครประสบความสำเร็จแต่ประการใดเลย
จนกระทั่งถึงปี 1934 ได้มีศัลยแพทย์ชาวอังกฤษคนหนึ่งชื่อ R.K. Wilson (1899–1964) ซึ่งอ้างว่า เขาสามารถถ่ายภาพสัตว์อสูรได้ที่ระยะห่างประมาณ 250 เมตร ปรากฏว่า มันเป็นสัตว์ที่มีรูปร่างคล้ายไดโนเสาร์ คือ มีลำคอยาว ลำตัวหนา หลังโค้ง กำลังโผล่ขึ้นจากน้ำ ทำให้เกิดคลื่นกระจายออกเป็นวงกลมไปรอบตัวสัตว์ ครั้นเมื่อนักชีววิทยาได้เห็นภาพของสัตว์อสูรตัวนี้ ที่มีชื่อเล่นว่า Nessie ทุกคนได้ลงความเห็นว่า มันเป็นตัว plesiosaur ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลานในทะเลที่เคยมีชีวิตในยุค Jurassic กับยุค Cretaceous คือ เมื่อ 200-145 ล้านปีก่อน และ 145-66 ล้านปีก่อนตามลำดับเพราะ plesiosaur มีคอยาว หัวเล็ก ลำตัวแบน และมีครีบ 4 ข้างเพื่อใช้ในการว่ายน้ำ
หนังสือพิมพ์ทั่วโลกได้ลงข่าวและภาพของ Nessie จนทำให้ทุกคนเชื่อว่ามันเป็นสัตว์ยุคไดโนเสาร์ที่ยังไม่ได้สูญพันธุ์ และยังมีชีวิตอยู่ร่วมโลกกับมนุษย์ปัจจุบัน (ความจริงมีอยู่ว่าในปัจจุบัน ไดโนเสาร์ก็ยังอยู่กับเรา และในบางครั้งเราก็กินไดโนเสาร์ ในบางเวลาเราก็เห็นมันบินว่อนอยู่บนท้องฟ้า มันมิใช่ T. rex แต่เป็นนก ซึ่งเป็นสัตว์ที่ได้วิวัฒนาการจากไดโนเสาร์บางสายพันธุ์) เพราะคนที่นำเสนอภาพนี้ คือ หมอ Wilson ซึ่งน่าจะมีจริยธรรม ภาพนั้นก็คงเป็นภาพจริงที่มิได้มีการตัดต่อใด ๆ ด้วยเหตุนี้คนแทบทั้งโลกจึงเชื่อ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่พบหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เป็นโครงกระดูกของตัว Nessie ให้เห็นเลย
จนกระทั่งถึงปี 1994 Christian Spurling (1902-1994) ชายชาวอังกฤษคนหนึ่ง ได้ออกมาสารภาพว่า เขาได้สร้างตุ๊กตาหุ่นไดโนเสาร์ที่ลอยน้ำได้ ให้เพื่อน คือ หมอ Wilson เป็นคนถ่าย แล้วส่งภาพ Nessie ไปลงหนังสือพิมพ์ Daily Mail เพื่อให้โลกเห็นและเชื่อ เพราะหมอเป็นอาชีพของคนที่มีจริยธรรม ซึ่งจะไม่มีวันหลอกลวงสังคม
เมื่อได้รับฟังคำชี้แจง ความเชื่อที่ว่า Nessie มีจริง จึงได้สร่างซาลง กระนั้นผู้คนจำนวนมากก็ยังไม่ยอมรับเรื่องหลอกลวงนี้ โดยอ้างว่าการที่ยังไม่มีใครเห็น มิได้แสดงว่า Nessie ไม่มี บางคนอ้างว่า มันได้เสียชีวิตไปแล้ว บ้างก็อ้างว่า Nessie ได้ว่ายน้ำหนีออกทะเลไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีใครพบหลักฐาน โดยสรุปก็คือยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่า Nessie มีจริง หรือไม่มีจริง
ความเชื่อที่ว่าสัตว์สูญพันธุ์ไปแล้ว แต่กลับพบอีกในเวลาต่อมา ได้รับการตอกย้ำ ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ปี 1938 เมื่อ Marjorie Courtenay-Latimer (1907-2004) แห่งเมือง East London ในประเทศแอฟริกาใต้ ได้เห็นปลาที่มีเกล็ดสีน้ำเงินจุดขาว ลำตัวยาวประมาณ 1.5 เมตร และหนักประมาณ 60 กิโลกรัม ปลาตัวนี้มีครีบคู่เป็นแขนและขา โดยครีบอกและครีบท้องของมันสามารถขยับไป-มาได้ คล้ายกับลักษณะการเดินของสัตว์ 4 เท้า
Marjorie Courtenay-Latimer จึงได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษา J.L.B. Smith (1897-1968) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องปลาดึกดำบรรพ์ ซึ่งได้ให้ความเห็นว่า มันเป็นปลา coelacanth ที่ใคร ๆ ก็คิดว่า มันได้สูญพันธุ์ไปตั้งแต่เมื่อ 66 ล้านปีก่อน แต่ขณะนี้มันก็ยังมีชีวิตอยู่บนโลกและไม่ค่อยมีคนเห็น เพราะมันชอบว่ายน้ำอยู่ในน้ำลึกที่ระดับ 150-700 เมตร และมักพักผ่อนในถ้ำใต้น้ำในเวลากลางวัน และจะออกมาหากินในเวลากลางคืน ปลานี้มีอายุขัยประมาณ 60 ปี ความสำคัญของปลาสายพันธุ์นี้ คือ มันเป็นสัตว์ที่มีลำตัวซึ่งแสดงขั้นตอนวิวัฒนาการจากปลา ซึ่งเป็นสัตว์น้ำ มาเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ แล้วเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อย่างเห็นได้ชัด
ปัจจุบัน coelacanth เป็นสัตว์หายาก ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ จึงได้รับความคุ้มครองจาก The International Union for Conservation of Nature (IUCN) และทะเลที่เราสามารถจะพบเห็นมันได้ ณ วันนี้ คือ ทะเล Comoros ที่อยู่ใกล้เกาะ Madagascar กับทะเลใกล้เกาะ Sulawesi ของอินโดนีเซีย
Coelacanth จึงเป็น “ฟอสซิลที่มีชีวิต” และเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่นักอนุรักษ์สัตว์หายากที่กำลังใกล้จะสูญพันธุ์ยืนยันว่า สัตว์อสูรที่อยู่ใต้ทะเลและเรายังไม่เห็น ก็คงยังมีอยู่อีกมาก
สัตว์อสูรที่โลกรู้จักยังมีอีกมากชนิด เช่น หมึกยักษ์ ตัว Kraken ที่ชาวไวกิ้งเชื่อว่า เวลาโผล่จากทะเล จะทำให้เรืออับปาง และน้ำท่วมเมืองที่ตั้งอยู่ชายทะเล ตลอดจนถึงมังกร ซึ่งเป็นสัตว์อสูรในทะเลอีกชนิดหนึ่ง ที่ผู้คนได้กล่าวถึงตั้งแต่สมัยโบราณ คือ ตั้งแต่ยุคของผู้เฒ่า Pliny (23-79) ซึ่งเป็นนักธรรมชาติวิทยาชาวโรมัน และเป็นนักเขียนตำราวิทยาศาสตร์เป็นชุดหนังสือที่มีจำนวนมากถึง 37 เล่ม ภายใต้ชื่อว่า Natural History เพื่อนำขึ้นไปถวายจักรพรรดิ Titus แห่งอาณาจักรโรมัน และผู้เฒ่า Pliny ได้กล่าวถึงมังกร (ในภาษาอิตาเลียนเรียกมังกรว่า dragone) ว่า สามารถสู้กับช้าง และฆ่าช้างได้
สำหรับบทบาทของมังกรในความเชื่อทางศาสนาก็มีการกล่าวถึงนักบุญ George ที่ได้ฆ่ามังกร ซึ่งชอบมาคุกคามชีวิตชาวเมือง Silene โดยการทำให้สิ่งแวดล้อมที่อยู่นอกเมืองเป็นพิษด้วยลมหายใจของมัน อีกทั้งยังได้ข่มขู่ให้เจ้าเมืองนำเด็กสาวพรมจารีมาให้มันกินทุกวัน จนกระทั่งวันหนึ่งถึงวาระที่เจ้าหญิงแห่งเมืองจะต้องถูกนำตัวไปสังเวย ก็พอดีนักบุญ George ได้เดินทางมาถึง และนักบุญก็ได้อธิษฐานขอพรจากพระเจ้าให้ตัวเองสามารถฆ่ามังกรได้ ซึ่งพระเจ้าก็ทรงประทานพรให้ตามที่ขอ กุศลกรรมครั้งนั้น ได้ทำให้ชาวเมืองพากันเลื่อมใสศรัทธาในคริสต์ศาสนามาก จึงได้เปลี่ยนมานับถือคริสต์ศาสนากันทั้งเมือง
โดยทั่วไปมังกรยุโรป เป็นสัตว์ที่ลำตัวมีขนาดใหญ่ มี 4 ขา มีปีกใหญ่คล้ายค้างคาว มีหางยาว มีหัวคล้ายงู มีเขา ลำตัวมีเกล็ดหนา มีกรงเล็บที่แหลมคม และสามารถพ่นไฟออกจากปากได้ มังกรจึงเป็นสัตว์ร้าย ที่คนจะเป็นวีรบุรุษต้องฆ่าให้ตาย เพราะทุกคนถือว่ามันเป็นสัตว์อัปมงคล
แต่มังกรตะวันออก ทั้งมังกรของจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี กลับเป็นสัตว์มงคลที่สร้างพลังบวกให้แก่คนที่พบเห็น โดยเฉพาะปีนี้เป็นปีมังกรที่ชาวจีนนับถือว่าเป็นสัตว์นำโชค และเป็นสัตว์สัญลักษณ์ที่ใช้แทนองค์จักรพรรดิ
มังกรจีนมักมีรูปร่างที่มีลักษณะผสมของสัตว์หลายชนิด เช่น งูและสิงโต คือ มีเกล็ดตามตัวเหมือนปลา มีกรงเล็บเหมือนกรงเล็บของนกอินทรี มีหนวดเหมือนปลาดุก มีเขาเหมือนเขากวาง แม้จะไม่มีปีก แต่ก็สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ คนจีนเชื่อว่มังกรเป็นสัตว์ที่ควบคุมสภาพความเป็นไปของท้องฟ้า รวมถึงสามารถกำหนดปริมาณฝนที่จะตกได้ด้วย ครอบครัวใดที่ได้ลูกชายชาวบ้านก็มักจะเปรียบเสมือนว่าได้มังกร แต่ถ้าได้ลูกสาวก็มักจะเปรียบว่าได้นก phoenix คนจีนยังมีประเพณีเชิดมังกร และแข่งเรือมังกรในงานเฉลิมฉลองต่างๆ ด้วย
ความเชื่ออีกประการหนึ่งของระบบแพทย์แผนจีน คือ กระดูกมังกรที่นำมาบดจนละเอียดสามารถเป็นยารักษา และแก้อาการปวดต่างๆ ได้ สามารถทำให้จิตใจให้สงบ ตลอดจนอาการวิงเวียนศีรษะก็จะหาย แพทย์แผนจีนบางคนยังอ้างอีกว่า กระดูกมังกรสามารถรักษาไข้มาลาเรียก็ได้ด้วย
ดังนั้นในสมัยก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 20 เวลาคนจีนเห็นกระดูกขนาดใหญ่ของสัตว์ ที่มีลักษณะไม่เหมือนกระดูกของสัตว์ที่ตนคุ้นเคย ก็มักเรียกกระดูกนั้นว่า กระดูกมังกร (จากคำจีนว่า long gu) แล้วนำกระดูกมาบด เพื่อใช้เป็นยารักษาโรค เหมือนสมุนไพรจีนในปัจจุบันที่นอกจากจะช่วยให้หายป่วยแล้ว ยังสามารถทำให้คนกินยานั้นนอนหลับสนิทดีขึ้นด้วย
แต่เมื่อถึงวันนี้ เวลาพบกระดูกที่มีรูปร่างแปลก ๆ คนจีนมักจะไม่นึกถึงการนำกระดูกไปบดเป็นยาแล้ว เพราะรู้ว่ามันอาจจะเป็นกระดูกของสัตว์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีคุณค่าทางวิชาการมาก
ในปี 1899 Wang Yirong (1845-1900) ซึ่งในเวลานั้นเป็นอธิการบดีของสถาบัน Imperial Academy ที่ปักกิ่งในจีน และกำลังป่วยเป็นไข้มาลาเรีย ได้ส่งคนใช้ไปซื้อกระดูกมังกรที่ร้านขายยาที่อยู่ใกล้สถาบัน เมื่อคนใช้กลับมา ได้นำกระดูกชิ้นใหญ่กลับมาด้วย โดยกระดูกไม่ได้ถูกบดแต่ประการใด ครั้นเมื่อ Wang จ้องมองที่กระดูก เขาก็รู้สึกประหลาดใจมาก ที่เห็นว่าบนกระดูกมีรอยจารึกเป็นสัญลักษณ์ต่าง ๆ มากมาย ความเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องจารึกภาษาจีนโบราณ ทำให้ Wang รู้ว่า จารึกบนกระดูกมังกรชิ้นนั้น คือ ต้นแบบของจารึกอักษรจีนที่เขาเคยเห็นบนกระดาษ บนกระบอกไม้ไผ่ และบนภาชนะที่ทำด้วยทองสำริด
Wang จึงส่งคนใช้คนนั้นกลับไปที่ร้านขายยาจีนอีก เพื่อเหมาซื้อกระดูกมังกรทุกชิ้นที่ร้านมี และที่ร้านยาจีนอื่น ๆ ด้วย แล้วได้จัดการถอดความและแปลอักษรจนหมด จึงประจักษ์ว่า มันเป็นอักษรที่ถูกจารึกขึ้นในยุคของราชวงศ์ Shang (คือ เมื่อประมาณ 1600-1046 ปีก่อนคริสตกาล) และเนื้อหาในจารึกมีเรื่องราวเกี่ยวกับการสู้รบระหว่างชนเผ่าต่าง ๆ ในอาณาจักร และพระราชพิธีอภิเษกสมรสของกษัตริย์ เป็นต้น
การอ่านจารึกบนกระดูกมังกร จึงได้ทำให้นักประวัติศาสตร์จีนรู้และเข้าใจเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในยุคราชวงศ์ Shang ดีขึ้นมาก เช่น ได้รู้ลำดับ และเวลาในการครองราชย์ของกษัตริย์องค์ต่างๆ ได้เข้าใจความเป็นไปของสังคม ตลอดจนความเชื่อต่าง ๆ ของคนในยุคนั้นด้วย
ถึงวันนี้จารึกที่ Wang พบบนกระดูกมังกร นับเรื่องจารึกภาษาจีนโบราณที่มีอายุมากที่สุด
ความมั่นใจว่า ประเทศจีนเคยมีมังกรอาศัยอยู่ ได้เป็นความเชื่อที่มีมานานแล้ว และความเชื่อนี้ก็ได้เริ่มเป็นความจริงในปี 2003 เมื่อ Li Chun แห่ง Chinese Academy of Sciences ได้พบกระดูกส่วนหัวของสัตว์ที่มีคอยาว และมีลำตัวยาวประมาณ 5 เมตร ที่หมู่บ้าน Yang Juan ในจังหวัด Xinmin ของมณฑล Guizhou (กุ้ยโจว) และเขาได้รายงานการพบนี้ในวารสาร Acta Geologica Sinica 77(4) : 419-423 โดยใช้ชื่อเรื่องว่า First record of protosaurus reptile (Order Protosaurus) from the Middle Triassic of China
ในงานวิจัยนั้น Li ได้รายงานการพบสัตว์สายพันธุ์ใหม่ที่เคยมีชีวิตอยู่บนโลกในยุค Triassic แต่กระดูกที่พบก็ยังไม่สมบูรณ์แบบ 100% กระนั้น Li ก็ได้ตั้งชื่อมังกร (งูใหญ่) สปีชีส์นี้ว่า Dinocephalosaurus orientalis ซึ่งเป็นคำผสมที่มาจากคำว่า Dino ที่แปลว่า น่ากลัว cephalo ที่แปลว่า หัว saurus ที่แปลว่า กิ้งก่า และ orientalis ที่แปลว่า จากดินแดนตะวันออก (จีน)
ครั้นเมื่อถึงวันที่ 23 เมษายน ปี 2025 นี้ ทีมวิจัยของ Li Chun ก็ได้รายงานการพบโครงกระดูกของมังกร D.orientalis เพิ่มเติมที่มณฑล Guizhou ในสภาพที่เกือบสมบูรณ์แบบ 100% จนทำให้สามารถสรุปได้ว่า มันเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่มีลำตัวยาวคล้ายงู และมีคอที่ยาวกว่าลำตัว การพบกระดูกคอ 32 ชิ้น และมีลำตัวที่ยาว 6 เมตร ทำให้มันสามารถหาอาหารในทะเลได้ง่าย และว่ายน้ำได้อย่างคล่องแคล่วยิ่งกว่าสัตว์ชนิดอื่น ฟันในปากที่แหลมคมช่วยให้มันกัด กิน และกลืนปลาผ่านลำคอยาวได้ง่าย นักวิจัยยังได้พบซากปลาในกระเพาะของมันด้วย Li ได้กล่าวเสริมอีกว่า D.orientalis ตัวเมียคลอดลูกเป็นตัวในทะเล และเคยใช้ชีวิตอยู่ในทะเลบนโลก เมื่อครั้งที่โลกมีมหาทวีปเดียว คือ Pangea เมื่อ 230 ล้านปีก่อน และในเวลานั้น D.orientalis มีสัตว์ดึกดำบรรพ์อื่นร่วมโลกด้วย คือ จระเข้ยักษ์ (phytosaur), aetosaur และ pterosaur
สำหรับสาเหตุการสูญพันธุ์ของมัน คือ การระเบิดของภูเขาไฟบนโลกอย่างขนานใหญ่ และการเปลี่ยนระดับของน้ำทะเล
ในการพบมังกรดึกดำบรรพ์ครั้งนี้ Li Chun ได้รับความร่วมมือจากนักวิจัยนานาชาติ เช่น จากอเมริกา อังกฤษ ยุโรป สก็อตแลนด์ เยอรมนี และจากจีนเอง
ข้อมูลรูปร่างของ D.orientalis ยังแสดงให้เห็นอีกว่า มันมิใช่ตัว plesiosaur ที่มีลำตัวกว้างกว่า และมีครีบ 4 ครีบ แต่ D.orientalis เป็นงูยักษ์ที่ใช้ชีวิตในทะเล มีหัวเล็กและคอยาว ดังนั้นมันจึงสามารถจู่โจมเหยื่อทางข้างหลัง โดยเหยื่อมักจะไม่เห็นมันก่อน แต่เมื่อเห็น ก็สายไปเสียแล้ว
การวัดอายุของกระดูก โดยเทคโนโลยีนิวเคลียร์ (U-Pb) ศึกษาอัตราการสลายตัวของยูเรเนียมไปเป็นตะกั่วพบว่า กระดูกมีอายุ 244 ±1.3 ล้านปี
งานวิจัยที่ Li กับคณะจะทำในขั้นต่อไป คือ ค้นหาบรรพสัตว์ที่เป็นต้นตระกูลของ D.orientalis เพื่อจะได้เข้าใจความเป็นมาของมังกรจีน
และเมื่อเร็วๆ (เดือนมีนาคม 2025) นี้ ได้มีการพบฟอสซิลของ Plesiosaur ในทะเลทางตอนใต้ของเยอรมนี ซึ่งเคยมีชีวิตอยู่ใรยุค Jurassic เมื่อประมาณ 180 ล้านปีก่อน
อ่านเพิ่มเติมจาก "Do sea monsters exist? Yes, but they go by another name … | Jules Howard". the Guardian. 2017-05-18. Retrieved 2022-01-28.
ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน : ประวัติการทำงาน - ราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์
ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ,นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน,ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" ได้ทุกวันศุกร์