เมื่อโลกได้โคจรรอบดวงอาทิตย์ ในแต่ละวันเราจะเห็นดวงอาทิตย์ที่ปรากฏจะมีตำแหน่งที่ไม่เหมือนกัน โดยจะเปลี่ยนตำแหน่งประมาณวันละ 1 องศา ตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา ดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ไปทางเหนือเรื่อยๆ และจะหยุดที่จุดเหนือสุดในวันที่ 21 มิถุนายน ของทุกปี ในวันนี้จะเรียกว่า “วันครีษมายัน” วันที่มีเวลากลางวันยาวนานที่สุดในปี
ครีษมายัน (ครีด-สะ-มา-ยัน) (Summer Solstice) โดยในวันนี้ช่วงเวลากลางวันจะยาวนานที่สุด และมีช่วงเวลากลางคืนสั้นที่สุดในรอบปี เนื่องจากองศาของดวงอาทิตย์ได้เดินทางไปถึงจุด “Solstice” เป็นภาษาอินโดยูโรเปียน คำว่า “Stice” หมายถึง สถิต หรือ หยุด ดังนั้น Summer Solstice จึงหมายถึงวันที่ดวงอาทิตย์โคจรไปถึงจุดหยุด หรือจุดสุดทางเหนือ
การเกิดปรากฏการณ์นี้ เกิดขึ้นจากองศาการเอียงของโลกและการโคจรรอบดวงอาทิตย์ ทำให้ในแต่ละวันดวงอาทิตย์จะปรากฏในตำแหน่งต่างกัน โดยจะมีการเปลี่ยนตำแหน่งไปประมาณวันละ 1 องศา ตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา ดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ไปทางเหนือเรื่อยๆ และจะหยุดที่จุดเหนือสุดในวันที่ 21 มิถุนายน จากนั้นจะค่อยๆ เคลื่อนลงมาทางใต้ ในวันดังกล่าวดวงอาทิตย์จะขึ้นจากขอบฟ้าทางทิศตะวันออกเฉียงไปทางเหนือมากที่สุด และตกลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตกเฉียงไปทางเหนือมากที่สุด จึงทำให้มีช่วงเวลากลางวันยาวนานที่สุดในรอบปี นับเป็นวันเริ่มต้นฤดูร้อนของประเทศทางซีกโลกเหนือ และเข้าสู่ฤดูหนาวของประเทศทางซีกโลกใต้
สำหรับประเทศไทย ดวงอาทิตย์จะขึ้นเวลาประมาณ 05:51 น. และจะตกลับขอบฟ้า เวลาประมาณ 18:47 น.
ใน 1 ปี ที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ จะเกิดปรากฏการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับการขึ้น - ตก ของดวงอาทิตย์ทั้งหมด 4 ครั้ง ได้แก่ วันครีษมายัน - วันที่กลางวันยาวนานที่สุด วันเหมายัน - วันที่กลางคืนยาวนานที่สุด วันวสันตวิษุวัตและวันศารทวิษุวัต – วันที่มีช่วงเวลากลางวันและกลางคืนยาวนานเท่ากัน
ปรากฏการณ์ถัดไปที่เกี่ยวข้องกับการขึ้น - ตกของดวงอาทิตย์ ได้แก่ “วันศารทวิษุวัต” (สาด-ทะ-วิ-สุ-วัด) (Autumnal Equinox) ตรงกับวันที่ 23 กันยายน 2565 เป็นวันที่ดวงอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้าทางทิศตะวันออกและตกลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตกพอดี ส่งผลให้ช่วงเวลากลางวันยาวนานเท่ากับกลางคืน สำหรับประเทศทางซีกโลกเหนือ ถือเป็นวันเปลี่ยนฤดูกาลเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ส่วนประเทศทางซีกโลกใต้เปลี่ยนสู่ฤดูใบไม้ผลิ
ข้อมูลอ้างอิง
- สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ NARIT