xs
xsm
sm
md
lg

วัสดุเมตา : วัสดุมหัศจรรย์ที่มนุษย์ประดิษฐ์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เวลาเราดูปลาในสระ เราจะเห็นปลาว่ายอยู่ใกล้ผิวน้ำตื้นกว่าที่เป็นจริง อีกทั้งเห็นสระตื้นขึ้น หรือเวลาจุ่มหลอดกาแฟในน้ำ ก็จะเห็นหลอดกาแฟหักออกเป็นสองท่อนตรงผิวน้ำ เหตุการณ์ที่เห็นเหล่านี้ เกิดจากปรากฏการณ์หักเหของรังสีแสงที่ออกจากตัวปลาและก้นสระ เมื่อรังสีผ่านน้ำออกสู่อากาศ รังสีได้เบี่ยงเบนออกจากแนวเส้นตรงเข้าสู่ตาเรา ทำให้เราเห็นสิ่งต่าง ๆ ในน้ำได้


ครั้นเมื่อเราดูภาพยนตร์เรื่อง Harry Potter และเห็นพ่อมดน้อยสวมเสื้อคลุมกายสิทธิ์ที่สามารถทำให้ไม่มีใครเห็นตน เราทุกคนคงรู้สึกตื่นเต้น และต้องการจะมีเสื้อคลุมล่องหน เพื่อเอาไว้ใช้บ้าง เช่น เวลารู้สึกอับอายมาก คือ แทนที่จะพยายามแทรกแผ่นดินหนีหรือเอาปี๊บคลุมหัว ก็จะเอาเสื้อคลุมล่องหนคลุมแทน เป็นต้น

ณ วันนี้ ความต้องการนี้ได้กลายเป็นเรื่องจริงแล้ว นับตั้งแต่เมื่อ 20 ปีก่อนที่ David Smith แห่งมหาวิทยาลัย California ที่ San Diego ได้ประดิษฐ์วัสดุชนิดใหม่ขึ้นมา ซึ่งเป็นวัสดุที่มีสมบัติพิเศษ คือ ทำให้รังสีแสงเบี่ยงเบนไปในทิศตรงกันข้ามกับทิศที่มนุษย์ทุกคนเคยเห็นนับตั้งแต่พระเจ้าได้สร้างมนุษย์ขึ้นมา เพราะวัสดุประหลาดชนิดใหม่นี้ มีค่าดัชนีหักเหเป็นลบ และผลลัพธ์ที่เกิดตามมา คือ ถ้าในสระมีวัสดุชนิดนี้แทนน้ำ สระจะดูลึกกว่าเดิม และเวลาดูปลามันก็จะดูอยู่ลึกกว่าที่เป็นจริง ด้านฆาตกรที่ฆ่าคนแล้วก็อาจจะเอาวัสดุประหลาดนี้มาคลุมศพ ซึ่งจะทำให้ศพหายไปจากสายตาของตำรวจ


สำหรับคุณประโยชน์ทางด้านบวกก็มีมาก เช่น การมีประโยชน์และคุณค่าในการพรางตัวทหารไม่ให้ข้าศึกเห็น และการมีความสามารถในการใช้ทำเลนส์ที่สมบูรณ์แบบ (perfect lens) คือ เป็นเลนส์ที่ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถเห็นภาพของวัตถุที่มีขนาดเล็กกว่าความยาวคลื่นของแสงได้อย่างไม่มีความคลาด (aberration) ใด ๆ เลย และความสำคัญของสิ่งประดิษฐ์นี้ ได้ทำให้ Sir John Pendry แห่ง Imperial College ของมหาวิทยาลัย London ได้รับการเสนอชื่อให้ได้รับรางวัลโนเบลฟิสิกส์หลายครั้ง แต่ยังไม่ได้ (และคงจะได้ในเวลาอีกไม่นาน)


วัสดุในฝันนี้ นักวัสดุศาสตร์เรียกว่า วัสดุเมตา (metamaterial) ซึ่งตามปกติไม่มีในธรรมชาติ และเป็นวัสดุที่นักวิทยาศาสตร์ประดิษฐ์ขึ้น โดยการสอดใส่วัตถุรูปร่างต่าง ๆ เข้าไปในวัสดุที่โปร่งใส เช่น พลาสติก หรือ ใยแก้ว (fiberglass) แล้วทำให้สมบัติเชิงทัศนศาสตร์ของวัสดุตัวกลางเปลี่ยนแปลง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้เกิดจากสมบัติกายภาพของตัวกลาง มิได้เกิดจากสมบัติโมเลกุลของตัวกลาง

นักฟิสิกส์ได้คิดจะสร้างวัสดุเมตาขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1967 เมื่อ Victor Veselago ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ชาวรัสเซียแห่งสถาบัน P.N. Lebedev Physical Institute ณ กรุง Moscow ได้ครุ่นคิดเรื่องดัชนีหักเห (n) ของตัวกลาง ที่ตำราฟิสิกส์ทั้งหลายในเวลานั้นได้ให้คำจำกัดความว่า เป็นอัตราส่วนระหว่างความเร็วแสงในสุญญากาศ (c) กับความเร็วแสงในตัวกลาง (v) คือให้ n = c/v และตามปกติ n จะมีค่ามากกว่า 1 และมีค่าบวกเสมอ เช่น n ของน้ำ = 4/3 ซึ่งแสดงว่าความเร็วของแสงในน้ำมีค่าประมาณ 3/4 ของความเร็วแสงในสุญญากาศ และ n ของแก้วมีค่า = 3/2 ซึ่งแสดงว่าความเร็วของแสงในแก้วมีค่าประมาณ 2/3 ของความเร็วแสงในสัญญากาศ เป็นต้น


Veselago ได้มีจินตนาการว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้า n มีค่าลบ คำตอบแรกที่เขาได้ คือ v = - c/n ซึ่งแสดงว่า แสงจะย้อนทางเดิม และในกรณีการหักเห จากกฎของ Snell ที่แถลงว่า n_1 sin⁡〖θ_1 〗=n_2 sin⁡〖θ_2 〗 เมื่อ n_1 , n_2 คือ ดัชนีหักเหของตัวกลางที่ 1 และที่ 2 ส่วน θ_1 , θ_2 คือ มุมตกกระทบในตัวกลางที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ จากกฎของ Snell เราก็จะเห็นว่า ถ้า n_2 มีค่าลบ นั่นก็แสดงว่า θ_2 มีค่าลบด้วย ซึ่งมีความหมายว่า การเบนของรังสีหักเหจะมาก จนทำให้รังสีหักเหแทนที่จะอยู่คนละข้างของเส้นปกติกับรังสีตกกระทบ ได้กลับมาอยู่ข้างเดียวกัน (ซึ่งเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ)


ในวิชาวัสดุศาสตร์นั้น ทฤษฎีดัชนีหักเหของแสงในตัวกลางแถลงว่าค่าของ n สามารถคำนวณได้จากปฏิกิริยาตอบสนองของอิเล็กตรอนที่มีต่อคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งประกอบด้วยสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก และการตอบสนองนี้ขึ้นกับค่า permittivity (สภาพยอม) และค่า permeability (สภาพให้ซึมผ่านได้) ของตัวกลาง และตามปกติค่าทั้งสองนี้จะมีค่าบวก
แต่ถ้าค่า permittivity และ permeability เป็นลบ ดัชนีหักเหก็จะมีค่าลบด้วย และตัวกลางนั้นก็จะกลายเป็นวัสดุเมตาในทันที


ความฝันของ Veselago ได้กลายเป็นความจริง เมื่อ David Smith นำลวดโลหะทองแดงที่บางเบาและสั้นมาวางเรียงในตัวกลางโปร่งใส เช่น plastic , fiberglass และนำลวดทองแดงที่บางและเบามาขดเป็นวงกลมซ้อนกันหลายวง แต่เป็นวงกลมที่ไม่ปิดสนิท คือ มีรอยแยกเล็กน้อย เพื่อให้กระแสอิเล็กตรอนสามารถไหลไปในเส้นลวดเหล่านี้ได้ ภายใต้อิทธิพลของสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก โดยการจัดเรียงลวดขนาดเล็กและสั้นเหล่านี้ให้อยู่ห่างกันเล็กน้อย และเรียงกันอยู่อย่างเหมาะสม Smith ก็สามารถสร้างวัสดุเมตาที่มีค่า n = -2.7 ได้ เป็นครั้งแรก


ลุถึงปี 2008 John Pendry ได้เสนอแนะว่าเราสามารถนำวัสดุเมตามาทำเป็นเสื้อคลุมล่องหนได้ โดยใช้เทคนิคของ Smith ด้วยการนำวัสดุนี้คลุมลงบนวัตถุที่ต้องการไม่ให้ใครเห็น จากนั้นก็ส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเข้าไปตกกระทบวัสดุ ในเบื้องต้น Smith ใช้คลื่น microwave ที่มีความยาวคลื่นประมาณ 1 เซนติเมตร (คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีหลายชนิด เช่น คลื่นวิทยุที่มีความยาวคลื่น 100 – 1 เมตร คลื่น infrared ที่มีความคลื่น 1,000 นาโนเมตร และรังสีอัลตราไวโอเลต ที่มีความยาวคลื่น 10 นาโนเมตร เป็นต้น) ดังนั้น เสื้อคลุมวิเศษตัวหนึ่งที่ซ่อนวัตถุได้ เมื่อใช้คลื่นชนิดหนึ่งจะไม่สามารถซุกซ่อนวัตถุนั้นได้ ถ้าใช้คลื่นชนิดที่ไม่เหมาะสม

กระทรวงกลาโหมของสหรัฐนั้นได้สนใจเรื่องนี้มาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นเมื่อได้ข่าวความสำเร็จในการทำผ้าคลุมล่องหนของ Smith องค์กร Defense Advanced Research Projects Agency (DARPA) ของสหรัฐ จึงได้จัดตั้งหน่วยวิจัยเรื่อง metamaterial ขึ้น เพื่อใช้วัสดุเมตาหุ้มเครื่องบินรบ เรือดำน้ำ รถถัง ฯลฯ ให้ปลอดจากการถูกตรวจจับโดยเรดาร์ของข้าศึก

สำหรับการใช้วัสดุเมตาให้เป็นประโยชน์ในชีวิตของพลเรือนนั้นก็มีมากมาย เช่น ในกรณีสายอากาศ (antenna) ที่เราใช้รับสัญญาณ ตามปกติมักมีขนาดใหญ่พอ ๆ กับความยาวคลื่นที่เรารับ ซึ่งความยาวคลื่นนี้แปรผกผันกับความถี่ของคลื่น ดังนั้น ถ้าจะลดความยาวคลื่นของสัญญาณ เพื่อลดขนาดของสายอากาศ ถ้าต้องการให้สายอากาศรับสัญญาณที่มีความถี่สูง 30 gigahertz (30x10^9 hertz) โดยใช้สายอากาศที่มีความยาวเพียง 1 เซนติเมตร เพราะเวลาคนรับ-ส่งสัญญาณอยู่ในเมืองที่มีอาคารมากมาย สัญญาณจะถูกบดบังจนเครื่องส่ง-รับทำงานไม่ได้

แต่ถ้าวิศวกรใช้วัสดุเมตาทำสายอากาศ การมีดัชนีหักเหของวัสดุเมตาเป็นลบ จะทำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาด เพราะการลดความยาวคลื่นแทนที่จะเพิ่มความถี่ เหมือนในกรณีวัสดุธรรมดา กลับเป็นว่า ความถี่ของคลื่นที่รับได้ก็จะลดลงด้วย

การอาศัยสมบัติเช่นนี้ของวัสดุเมตา ได้ทำให้วิศวกรสามารถใช้มันทำสายอากาศที่มีความยาวเพียง 1/30 เท่าของความยาวคลื่นได้ นั่นคือ ยาวระดับมิลลิเมตร จึงเป็นสายอากาศที่มีความยาวสั้น เพื่อรับคลื่นที่มีความถี่ต่ำ ระดับ 1-5 gigahertz เหมือนสายอากาศที่ระบบ telecom ปัจจุบันกำลังใช้กันอยู่

นอกจากจะใช้ทำสายอากาศแล้ว วัสดุเมตายังมีประโยชน์ในการใช้ทำอุปกรณ์สื่อสารด้วยแสงอีกหลายชนิด เช่น ทำสายเคเบิล และถ่ายภาพวัตถุชีวภาพด้วย โดยการย่อส่วนของวัสดุเมตาลงให้พอดีกับความยาวคลื่นของแสงที่มีความยาวคลื่นต่าง ๆ จนทำให้เราสามารถใช้มันพร้อมกันได้ เพื่อรับคลื่นทุกความยาวคลื่น นี่จึงเป็นปัญหาวิศวกรรมนาโนที่มีความซับซ้อนและมีความเป็นไฮเทคมาก

คุณประโยชน์สำคัญของวัสดุเมตาอีกประการหนึ่ง คือ ใช้ทำ superlens (เลนส์วิเศษ) ทฤษฎีทัศนศาสตร์ที่เราเรียนกันมา ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า เลนส์ที่ทำด้วยแก้วธรรมดาไม่สามารถโฟกัสภาพของจุด (ซึ่งไม่มีขนาด) ให้เห็นเป็นจุดได้สมบูรณ์ 100% แต่จะได้ภาพการเลี้ยวเบนของวัตถุที่เป็นจุด คือ เป็นรูปวงแหวนที่สว่างและมืดเรียงซ้อนกัน ดังนั้นถ้าวัตถุมีขนาดเล็กกว่าครึ่งหนึ่งของความยาวคลื่น ภาพของจุดที่ได้โดยเลนส์ธรรมดาจะบิดเบี้ยวจนไม่เห็นเป็นจุด ด้วยเหตุนี้การถ่ายภาพของวัตถุที่มีขนาดเล็กมาก ๆ ด้วยเลนส์ธรรมดาจะให้ภาพไม่คมชัด แต่ถ้าใช้วัสดุเมตาทำเลนส์ ภาพที่ได้จะปราศจากการบิดเบือน ดังนั้นวัสดุเมตาจึงเป็นวัสดุในฝันของนักชีววิทยาที่ต้องการเห็นรายละเอียดของเซลล์ และเห็นกระบวนการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ได้อย่างชัดเจน

ในปี 2005 นักวิจัยจากสหรัฐอเมริกาและนิวซีแลนด์ได้ออกแบบ superlens เพื่อใช้รับรังสี ultraviolet (UV) โดยตัวเลนส์วิเศษทำด้วยแผ่นเงินที่บางมาก เพราะเงินมีค่า permittivity เป็นลบ แต่ค่า permeability เป็นบวก ดังนั้นจึงสามารถใช้ทำเป็น superlens ได้ ถ้าให้ระยะห่างระหว่างวัตถุที่ต้องการดูกับเลนส์วิเศษมีค่าน้อยกว่าความยาวคลื่นของแสง UV ที่ใช้ ณ วันนี้ เทคโนโลยีการถ่ายภาพโดยใช้กล้องจุลทรรศน์อินฟราเรดที่ระยะใกล้มาก ๆ ต่างก็ใช้ superlens ในการโฟกัสภาพแล้ว

ด้านบริษัทอุตสาหกรรมสร้างอากาศยานและดาวเทียม ก็สนใจการประยุกต์ใช้วัสดุเมตามากเช่นกัน เพราะตามปกติเลนส์กล้องถ่ายภาพที่ใช้ในการสร้างดาวเทียมนั้น จะโฟกัสคลื่นไมโครเวฟจากพื้นดินลงบนสายอากาศ การใช้วัสดุเมตาทำเลนส์วิเศษ นอกจากจะเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจรับสัญญาณแล้ว ยังทำให้น้ำหนักของดาวเทียมลดลงมากด้วย ทั้งนี้เพราะเลนส์เมตา มีน้ำหนักน้อยกว่าเลนส์ที่ทำด้วยแก้ว

สำหรับการประยุกต์ใช้วัสดุเมตาในการทำพรมวิเศษนั้น ทีมวิจัยของ Tolga Ergin กับคณะแห่ง Karlsruhe Institute of Technology ในประเทศเยอรมนี ได้ใช้วัสดุโพลิเมอร์สังเคราะห์ที่มีวัสดุขนาดเล็กเป็นท่อน ๆ จำนวนมาก โดยให้อยู่ห่างกันประมาณ 350 นาโนเมตร เพื่อรับแสงที่ตาเห็น (ความยาวคลื่น 400-700 นาโนเมตร) และได้พบว่า พรมที่ทำให้ไม่มีใครเห็นวัตถุที่ซ่อนอยู่ภายใต้ได้ เพราะเวลาแสงที่มาตกกระทบส่วนนูนของพรมจะเลี้ยวเบนไป เหมือนน้ำที่ไหลไปรอบท่อนไม้ที่จุ่มอยู่ในน้ำ เพราะแสงก็เช่นกัน จะเดินทางเป็นเส้นโค้งไปในพรมเหนือผิวของวัตถุ โดยจะไม่สะท้อนกลับให้ตาเห็น

จากนั้นทีมวิจัยที่มหาวิทยาลัย Duke ในสหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของ Steven Cummer ก็ได้ใช้หลักการนี้ ในการทำเสื้อคลุมเสียง ซึ่งทำด้วยแผ่นพลาสติกมีความหนาประมาณ 1 มิลลิเมตร และถูกเจาะเป็นรูเล็ก ๆ จำนวนมากมาย เมื่อวางแผ่นพลาสติกนี้ทับลงบนท่อนไม้ที่ยาวประมาณ 10 เซนติเมตร ก็ได้พบว่าคลื่นเสียงที่ถูกส่งไปกระทบท่อนไม้ถูกสะท้อนกลับเสมือนไม่มีท่อนไม้ขวางอยู่ เสื้อคลุมเสียงนี้จะมีประโยชน์ในการหลบซ่อนของเรือดำน้ำจากคลื่นโซนาร์ (sonar) ของข้าศึก

ในการทำเสื้อคลุมป้องกันภัยแผ่นดินไหวก็มีคนคิดจะสร้างเช่นกัน โดย Sang-Hoon Kim แห่งมหาวิทยาลัย Mokpo National Maritime ในประเทศเกาหลีใต้ และ Mukunda Das แห่ง Australian National University ได้เสนอให้สร้างเสื้อคลุมคลื่นแผ่นดินไหวที่สามารถป้องกันอาคารให้รอดพ้นจากภัยแผ่นดินไหว ด้วยการสร้างคอนกรีตทรงกระบอกที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวตั้งแต่ 20 ถึง 70 เมตร และแต่ละทรงกระบอกถูกเจาะเป็นรูเล็ก ๆ เพื่อรับคลื่นแผ่นดินไหว จากนั้นนำทรงกระบอกเหล่านี้ไปฝังในดิน โดยจัดเรียงให้อยู่รายล้อมอาคาร เมื่อคลื่นแผ่นดินไหวมากระทบกับ ทรงกระบอกคอนกรีต คอนกรีตก็จะป้องกันไม่ให้คลื่นแผ่นดินไหวกระแทกอาคารตรง ๆ และจะดูดกลืนพลังงานของคลื่นไปบ้าง แล้วเบนทิศการเคลื่อนที่ของคลื่นให้หนีออกไปจากอาคาร Kim คาดว่าเสื้อคลุมคลื่นแผ่นดินไหวนี้อาจนำไปใช้ป้องกันภัยแผ่นดินไหวที่ตามปกติจะทำลายอาคารสูง ๆ ได้ด้วย

ด้าน Yawslav Urzhumov แห่งมหาวิทยาลัย Duke ได้เสนอให้ใช้วัสดุเมตาคลุมส่วนหัวของเรือขณะแล่นไปในน้ำ วัสดุเมตาจะเบี่ยงเบนทิศการเคลื่อนที่ของคลื่นให้อ้อมไปตามความโค้งของหัวเรือ แล้วปล่อยน้ำออกทางท้ายเรือ ซึ่งจะมีผลทำให้ความเร็วของน้ำที่บริเวณท้ายเรือเท่ากับความเร็วของน้ำที่หัวเรือ เรือจึงเคลื่อนที่ผ่านน้ำเสมือนไม่ถูกน้ำรบกวนแต่อย่างใด

จากวัสดุ metamaterial นักเทคโนโลยีได้พัฒนาวัสดุนี้ต่อไป จนได้ metalens และ metasurface ซึ่งเป็นเลนส์เมตาและผิวเมตาตามลำดับ ในวารสาร Nano Letters ฉบับวันที่ 13 ตุลาคม 2021 John A. Paulson แห่งมหาวิทยาลัย Harvard ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้เสนอเลนส์เมตารูปแบบใหม่ที่ผิวเลนส์ถูกเจาะเป็นรูลึกมากมาย เพื่อช่วยในการโฟกัสแสงให้ไปรวมกันที่จุด ๆ เดียวได้ จึงได้ perfect lens ที่ไม่มีความคลาดเลยแต่เลนส์นี้มีความแตกต่างจากเลนส์เดิมที่มีผิวเลนส์เป็นเสาสูงที่มีความยาวระดับนาโนเมตรมากมาย เพราะได้พบว่าเสายิ่งสูง ถ้าใช้ไปเป็นเวลายิ่งนาน เสาเหล่านี้จะทรุดตัวรวมกัน ทำให้เลนส์เมตาเสียรูปทรง ดังนั้น Paulson จึงใช้ผิวที่ถูกเจาะเป็นรูลึกแทน เพื่อโฟกัสแสง โดยผิวเมตา (metasurface) มีรู “เข็ม” จำนวน 12 ล้านรู ซึ่งถูกเจาะลงไปในแผ่น silicon ที่มีความหนา 5 ไมโครเมตร โดยให้เส้นผ่านศูนย์กลางของรูเหล่านี้มีความยาวประมาณ 250 นาโนเมตร ดังนั้นอัตราส่วนระหว่างความลึกต่อความกว้างของรู จึงมีค่าประมาณ 30/1

นี่เป็นครั้งแรกที่มีการเจาะรูลึกที่ผิววัตถุ เพื่อสร้างเลนส์เมตาซึ่งไม่มีผิวโค้ง ดังเช่น เลนส์ตามปกติทั่วไป แต่ผิวของเลนส์เมตา แม้จะตรงก็สามารถโฟกัสแสงหลายสีให้ไปลงที่จุดเดียวได้ เลนส์เมตาที่ Paulson สร้างนี้มีรูที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดต่าง ๆ กัน และมีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 2 มิลลิเมตรเท่านั้นเอง

งานวิจัยที่ Paulson ต้องการจะทำต่อไป คือ เติมของเหลว เช่น ผลึกเหลวลงไปในรู ซึ่งจะช่วยให้เขาสามารถควบคุมสมบัติของแสงที่มากระทบเลนส์เมตาได้

เหล่านี้ คือ เหตุการณ์ที่จะเกิดในเอกภพเมตาของแสงในอนาคต

อ่านเพิ่มเติมจาก "Near-Infrared to Ultra-Violet Frequency Conversion in Chalcogenide Metasurfaces" โดย Ji Gao et al ใน Nature Communications DOI : 10.1038/s41467-021-26094-1 ฉบับวันที่ 5 ตุลาคม 2021


สุทัศน์ ยกส้าน

ประวัติการทำงาน-ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" จาก "ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน" ได้ทุกวันศุกร์


กำลังโหลดความคิดเห็น