นักปราชญ์จีนโบราณได้พร่ำสอนคนจีนให้เชื่อว่า จีนเป็นศูนย์กลางของอารยธรรมโลกมาเป็นเวลานานแล้วตั้งแต่ยุคราชวงศ์ชาง (Shang) เมื่อ 3,500 ปีก่อน และได้แบ่งเอกภพออกเป็นสองส่วนคือ ส่วนที่เป็นสวรรค์กับโลก โดยมีจักรพรรดิแห่งสวรรค์ทรงทำหน้าที่ปกครองเอกภพทั้งหมด และในการปกครองโลกนั้นจักรพรรดิแห่งสวรรค์ได้ทรงมอบหมายให้พระโอรสในพระองค์ทรงปกครอง ดังนั้น พระโอรสจึงทรงเป็นทูตจากสวรรค์ผู้ทรงสิทธิอันชอบธรรมในการปกครองโลกมนุษย์ และพระโอรสองค์ที่ว่านี้ก็คือจักรพรรดิแห่งอาณาจักรจีน ที่ทรงได้รับอาณัติอันเป็นโองการจากสวรรค์โดยตรง ด้วยเหตุนี้ คนจีนโบราณจึงไม่ยอมรับกษัตริย์ของชาติอื่นในโลกว่าทรงมีฐานะเทียบเท่าจักรพรรดิจีน คือ เป็นได้แค่ “อ๋อง” เท่านั้น แต่มิได้เป็น “ฮ่องเต้” ในทำนองเสมือนว่า เมื่อฟ้ามีพระอาทิตย์ได้เพียงหนึ่งเดียว ดังนั้น โลกก็ย่อมมีจักรพรรดิจีนได้เพียงพระองค์เดียวเช่นกัน
นักประวัติศาสตร์จีนได้เริ่มจารึกเหตุการณ์ต่างๆ ในประเทศเป็นครั้งแรกเมื่อประมาณ 2,100 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งเป็นช่วงเวลาของราชวงศ์เซี่ย (Xia หรือ Hsia) ที่ตั้งอาณาจักรอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำหวงเหอ (Huang he) ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของจีนปัจจุบัน และแม่น้ำแยงซี (Yangzi) มีการสร้างบ้านเมือง ทำธุรกิจค้าขาย และสร้างองค์ความรู้ต่างๆ จนกระทั่งถึงคริสต์ศตวรรษแรก กษัตริย์ จีนจึงได้รวบรวมรัฐต่างๆ เข้าเป็นปึกแผ่น แล้วก่อตั้งเป็นรัฐฉิน (Qin) ขึ้นภายใต้การนำของจักรพรรดิฉินซีแห่งราชวงศ์ฉิน
นักประวัติศาสตร์จีนคนสำคัญ ซือหม่าเซียน (Ssu-ma Chien) ได้บันทึกความเชื่อของคนจีนในเวลานั้นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดในประวัติศาสตร์และกำลังจะเกิดในอนาคตศาสตร์ของจีนได้ถูกกำหนดให้เป็นไปตามโองการจากสวรรค์อย่างไม่มีทางเลี่ยง และจักรพรรดิแห่งสววรค์ทรงประทานอำนาจในการปกครองอาณาจักรจีนแก่จักรพรรดิจีน ในฐานะที่เป็นผู้ทรงเปี่ยมล้นด้วยคุณงามความดี มีพระปรีชาสามารถในการปกครองบ้านเมือง และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พระองค์ก็จะทรงโปรดให้องค์รัชทายาททรงปกครองบ้านเมืองสืบต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเวลาที่ราชวงศ์เริ่มเสื่อม เมื่อจักรพรรดิทรงปกครองแผ่นดินอย่างปราศจากคุณธรรม และทศพิธราชธรรม และทรงใช้จ่ายพระราชทรัพย์อย่างฟุ่มเฟือย ตลอดจนถึงได้รีดนาทาเร้นประชาชน ครั้นเมื่อถึงเวลาดังกล่าวจักรพรรดิแห่งสววรค์ก็จะทรงประทานสัญญาณต่างๆ ให้ปรากฏบนฟ้า เช่น ให้ดาวหางมาปรากฏ หรือให้เหล่าดาวเคราะห์มา “รวมกลุ่ม” หรือเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาและจันทรุปราคา อันเป็นสัญญาณของการประทานอนุญาตให้กบฏหรือขุนนางผู้ใหญ่สามารถล้มเจ้าได้โดยการเข้ายึดอำนาจ
ดังนั้น คนที่มีความรู้ดาราศาสตร์ในสมัยนั้นจึงเป็นผู้ที่ทรงพลังอำนาจมาก เพราะสามารถบอกคนทั้งประเทศทุกคนให้รู้ว่าถึงเวลาที่ประเทศต้องเปลี่ยนรัชกาล หรือจักรพรรดิจีนแล้ว และคนที่สามารถบอกเหตุการณ์ หรือลางดังกล่าวล่วงหน้าได้ คือ โหราจารย์ประจำราชสำนัก หรือนักดาราศาสตร์ในวังนั่นเอง ซึ่งมีหน้าที่หลักคือทูลจักรพรรรดิให้เตรียมพระองค์ได้ทัน และถ้าโหรทูลถวายคำพยากรณ์ไม่ทันหรือผิดพลาด โหรก็จะถูกนำตัวไปประหารชีวิต ตัดแขน ตัดขา ตัดลิ้น ตัดจมูก ควักลูกตา หรือเฆี่ยนตีจนตาย
ในอดีตเมื่อ 4,000 ปีก่อน ดาวเคราะห์ที่นักดาราศาสตร์จีนรู้จักมีทั้งหมดห้าดวง คือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี กับดาวเสาร์ และนักประวัติศาสตร์จีนได้บันทึกว่า เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ก่อน คริสตศักราช 1953 ปี ดาวทั้ง 5 ดวงได้โคจรมาให้เห็นอยู่กันกลุ่ม ทันทีที่เห็นเหตุการณ์นี้ อาณาจักรจีนได้เริ่มมีการเปลี่ยนการปกครอง จากราชวงศ์เซี่ย (Hsia) ไปเป็นราชวงศ์ชาง (Shang) ทั้งนี้เพราะกษัตริย์องค์ที่ 18 แห่งราชวงศ์ Hsia ทรงเป็นกษัตริย์ที่โหดร้ายและปราศจากมนุษยธรรมใดๆ ในการปกครองบ้านเมือง ทำให้บรรดาข้าราชการ กับทหารแตกแยกไม่สามัคคีและจงรักภักดี ประชาชนจึงพร้อมกันจับอาวุธเพื่อล้มล้างราชบัลลังก์ ดังนั้น เมื่อถึงวันที่ 20 ธันวาคม ก่อนคริสต์ศักราช 1576 ปี การมีดาวเสาร์ ดาวอังคาร ดาวพุธ และดาวพฤหัสบดี 4 ดวงได้โคจรมาอยู่ใกล้กันเป็นกลุ่ม นี่จึงเป็นสัญญาณให้จีนรู้ว่าถึงเวลาเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่ เป็นราชวงศ์ Chou โดยมีขุนนางชื่อ Cheng Tang เป็นหัวหน้ากบฏ
ต่อมาเมื่อถึงวันที่ 28 พฤษภาคมก่อนคริสตศักราช 1059 ปี ซึ่งเป็นเวลาที่ดาวเคราะห์ 5 ดวง อันได้แก่ ดาวศุกร์ ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวอังคาร และดาวพุธได้โคจรมาอยู่ในตำแหน่งที่เวลาดูจากโลกเสมือนอยู่เป็นกลุ่มอีก นี่จึงเป็นการส่งโองการจากสวรรค์ให้ทุกคนรู้ว่า ถึงเวลาที่ประชาชนต้องทำการใหญ่แล้ว เจ้าเมือง Wen แห่งมณฑล Chou จึงได้ประกาศสถาปนาตนขึ้นเป็นกษัตริย์ทันที และได้ประกาศจะปฏิรูปแผ่นดินจีนอย่างขนานใหญ่ แต่พระองค์เสด็จสวรรคตก่อน พระราชบุตร Wu จึงเสด็จขึ้นครองราชย์แทน เป็นจักรพรรดิพระองค์แรกในราชวงศ์ Chou
ในเวลาต่อมา เมื่อบรรดาดาวเคราะห์ได้โคจรมาปรากฏเป็นกระจุกอีกในเดือนพฤษภาคมเมื่อก่อนคริสตศักราช 205 ปี นั่นจึงเป็นสัญญาณให้ราชวงศ์ฮั่น (Han) ถือกำเนิด แต่การพยายามเปลี่ยนแปลงราชวงศ์ทุกครั้งมิใช่ว่าจะทำได้สำเร็จในปีที่ดาวเคราะห์มากเกาะกลุ่มกัน ดังเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ.750 หัวหน้ากบฏ An Lu-shan มิสามารถล้มเจ้าได้สำเร็จ และถูกสำเร็จโทษ
ปัจจุบันจีนมีการปกครองในระบบคอมมิวนิสต์แล้ว ดังนั้นการจะมาปรากฏรวมกันของดาวเคราะห์ทั้ง 5 ในวันที่ 8 กันยายน ค.ศ.2040 ก็จะเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่คนจีน (บางคน) รอคอยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในแผ่นดินจีน
ความเชื่อในทำนองเดียวกันนี้ได้เกิดขึ้นในอาณาจักรมองโกลด้วย ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า Ginghis Khan เป็นจักรพรรดิมองโกลในช่วง ค.ศ.1162 – 1227 พระองค์ทรงเป็นจักรพรรดิอัจฉริยะผู้ทรงมีพระปรีชาสามารถทางการทหารและการปกครองอย่างหาจักรพรรดิใดมาเทียบเคียงได้ยากในรัชสมัยของพระองค์ อาณาจักรมองโกลครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่เกาหลีไปจรดอิรัก และจากอินโดจีนไปจรดโปแลนด์ เพราะทรงเป็นจักรพรรดิที่โปรดปรานสงคราม และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ นักประวัติศาสตร์ได้ประมาณว่า ในรัชสมัยของพระองค์จำนวนคนที่ถูกสังหารโดยทหารมองโกลมีมากถึง 20 ล้านคน
องค์จักรพรรดิทรงเลื่อมใสในโหราศาสตร์มาก เช่น เมื่อเกิดปรากฏการณ์สุริยปราคาในวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ.1221 พระองค์ทรงบัญชาให้ทหารมองโกลหยุดโจมตีและสังหารประชาชนในมณฑล Honan ทันที คนจีนจำนวนมากจึงรอดตาย ด้าน Marco Polo ซึ่งได้เดินทางมาเยือนจีนและเมืองหลวงของอาณาจักรมองโกลก็ได้บันทึกว่า ในเวลานั้น ทั้งจีนและมองโกลมีโหรที่คอยถวายคำแนะนำแด่กษัตริย์ เจ้าเมือง ข้าราชการ และคนทั่วไปในการดำเนินชีวิตจำนวนประมาณ 5,000 คน โดยเฉพาะโหรในจักรพรรดิ Genghis Khan นามว่า Yeh-lu Ch’u-ts’ai เป็นผู้ทรงอำนาจมาก เพราะจักรพรรดิจะทรงขอคำปรึกษาจากโหรท่านนี้ทุกเรื่อง
ลุถึงเดือนมีนาคม ปี 1226 Genghis Khan ได้ทรงยกทัพบุกอาณาจักร Hsi Hsia ของจีน ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก หลังจากที่ทรงพิชิตกองทัพจีนแล้ว Genghis Khan ทรงบัญชาให้ประหารชนพื้นเมืองชาติพันธุ์ Tangut ทุกคนทั้งอาณาจักร แต่โหร Yeh-lu Ch’u – ts’ai ได้ทูลทัดทานว่า ในวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ.1226 ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวศุกร์และดาวพุธ ได้มาอยู่เรียงกันในแนวเส้นตรงเหตุการณ์นี้เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า เทพยดาบนสวรรค์ทรงไม่เห็นด้วยกับพระราชบัญชาให้สังหารชาว Tangut ล้างเผ่าพันธุ์ การเรียงตัวของดาวเคราะห์ในปีนั้นจึงทำให้คนประมาณ 100,000 คน รอดชีวิต
กระนั้นการทำสงครามกับชาว Tangut ก็ดำเนินต่อจนกระทั่งผ่านฤดูร้อนของปี 1227 จนถึงเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นเวลาที่จักรพรรดิ Genghis Khan ทรงประชวร และเสด็จสวรรคต แต่ข่าวการสิ้นพระชนม์ถูกเก็บเป็นความลับสุดยอด จนกระทั่งกษัตริย์ Tangut ผู้ทรงพระนามว่า Li Shien ทรงประกาศยอมจำนนต่อ Genghis Khan อย่างสมบูรณ์ และถูกนำพระองค์มาถวายตัวที่เต็นท์ของ Genghis Khan ซึ่งในเวลานั้นได้สิ้นพระชนม์ไปนานแล้ว
นอกจากปรากฏการณ์ดาราศาสตร์จะเป็นสัญญาณบ่งบอกให้คนจีนเปลี่ยนแปลงการปกครองจากราชวงศ์หนึ่งไปเป็นอีกราชวงศ์หนึ่งแล้ว การมาปรากฏตัวเป็นกลุ่มหรือการเรียกตัวเป็น “เส้นตรง” ของดาวเคราะห์ก็ยังผูกพันกับคำทำนายเรื่องวันสิ้นโลกด้วย เช่นว่าจะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวอย่างรุนแรง หรือเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมโลกหรือเกิดมหาวาตภัยที่ทำให้มวลมหาประชาชนต้องตายด้วย
ดังในวันที่ 14 กันยายน ค.ศ.1186 ที่ดาวเสาร์ ดาวอังคาร ดาวศุกร์ ดาวพฤหัสบดี ดาวพุธ และดวงจันทร์ได้มาปรากฏเป็นกลุ่มในท้องฟ้า เหตุการณ์นี้ทำให้บรรดาโหรในยุโรปตั้งแต่สเปนตลอดจนถึงเปอร์เซียต่างก็พยากรณ์ว่าจะเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมโลก และแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง จนสุลต่านแห่งตุรกี Kelej Arslan ทรงโปรดให้ขุดอุโมงค์หลบภัย และเสริมความแข็งแรงให้แก่อาคารบ้านเรือนบนภูเขา แต่เมื่อวันที่ “โลกแตก” มาถึง พระองค์ทรงอ้างว่า การสวดมนต์ทั่วประเทศได้ “ทำให้” ยุโรปทั้งทวีปปลอดภัย
ตามปกติในทุก 20 ปี ดาวพฤหัสบดี และดาวเสาร์จะโคจรมาอยู่เคียงกัน และนั่นก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่บรรดาโหรจะยินดี เพราะจะได้พยากรณ์ให้ผู้คนแตกตื่น ดังในปี 1385 (รัชสมัยพระมหาธรรมราชาแห่งอาณาจักรสุโขทัย) เพราะในวันที่ 19 มิถุนายนของปีนั้น ดาวอังคาร ดาวเสาร์ ดาวพฤหัสบดี และดาวพุธได้มาปรากฏตัวอยู่ใกล้กันเป็นกลุ่ม บรรดามหาโหรทั้งหลายก็ได้พยากรณ์ว่า จะเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมโลก แต่ก็ไม่มีอะไรที่ร้ายแรงเกิดขึ้นในปีนั้น
ลุถึงปี 1524 เมื่อดาวเคราะห์ทั้ง 5 ดวงได้โคจรมาอยู่ในตำแหน่งที่เป็นกระจุกกันอีก ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ (ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 แห่งอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา) การปรากฏตัวของกลุ่มในหมู่ดาว Pices (ปลา) ทำให้โหรยุโรปกล่าวถึง เหตุการณ์น้ำจะท่วมโลกเหมือนกับที่เกิดในคัมภีร์ไบเบิล และเพื่อให้ภัยร้ายนี้สลายไป สถาบันศาสนาในยุโรปจะต้องมีการปฏิรูป ผู้คนได้พยายามสร้างเรือรอน้ำท่วม และหลายคนเตรียมอพยพหนีขึ้นภูเขา Johann Carion ซึ่งเป็นโหรหลวงแห่งราชสำนักในเยอรมนีได้พยากรณ์ว่า วันที่ 15 กรกฎาคม ปี 1524 จะเป็นวันสิ้นโลก ดังนั้นก่อนจะถึงวันนั้น กษัตริย์เยอรมันทรงบัญชาให้ทหารขนอาหารและเสบียงขึ้นภูเขา หลังจากที่คอยฝนนานสองสัปดาห์ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น สภาพดินฟ้าอากาศก็ยังเป็นไปอย่างปกติ จนกระทั่งสิ้นปี 1524 แล้วเหตุการณ์แตกตื่นนี้ก็ถูกทุกคนลืมสิ้น จนกระทั่งคำพยากรณ์ใหม่มาอีกแล้ว ความตื่นกลัวก็เกิดขึ้นอีก ดังในปี 1982 ที่ดาวเคราะห์ได้มาเรียงตัวกันอีก และโหรได้ทำนายว่า จะเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงใน California แรงโน้มถ่วงของดาวเคราะห์ทั้งหลายจะทำให้ผิวดวงอาทิตย์ที่เป็นแก๊สร้อนหลุดลอยมาสู่โลก มหาพายุสุริยะจะทำให้โลกถูกแผดเผา และโลกจะหมุนช้าลง
แต่เมื่อถึงวันนั้นจริงๆ แรงโน้มถ่วงจากบรรดาดาวเคราะห์ทั้งหลายไม่มีอิทธิพลมากพอจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ บนดวงอาทิตย์ได้เลย Jupiter Effect หรือวันสิ้นโลกจึงไม่มีอีกครั้งหนึ่ง
สุริยุปราคาก็เป็นอีกปรากฏการณ์หนึ่งที่ทำให้คนโบราณรู้สึกกังวลและกระวนกระวายใจ (ทั้งเต็มดวง บางส่วน และวงแหวน) เพราะดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของความสว่างและความอบอุ่นแก่มนุษย์มาตั้งแต่เกิดจนตาย ถูกบดบังโดยเงามืด ทำให้รู้สึกเสมือนว่า ดวงอาทิตย์กำลังจะดับลงโดยอสูรมืดบนสวรรค์ อย่างไม่มีใครสามารถจะช่วยได้
ในยุโรปเมื่อ 5 ศตวรรษก่อนคริสตกาล Herodotus นักประวัติศาสตร์กรีก ผู้เคยไปเยือนสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์ทั้ง 7 แห่งของโลก ได้บันทึกเรื่องราวต่างๆ ตลอดเส้นทางที่ผ่านไป โดยในบันทึกมีเรื่องที่เกี่ยวกับสุริยุปราคา ว่าได้ทำให้สงครามระหว่างชนเผ่ายุติและพระราชพิธีอภิเษกสมรสได้อุบัติ เมื่อชาว Lydian กับชาว Medes ซึ่งได้ทำสงครามสู้รบยืดเยื้อกันมา 5 ปี โดยไม่มีใครแพ้หรือชนะ จนกระทั่งวันที่ 28 พฤษภาคมของเมื่อ 585 ปีก่อนคริสตกาล ที่สนามรบใกล้แม่น้ำ Halys ซึ่งอยู่ในประเทศตุรกีปัจจุบัน ในเวลานั้นอากาศร้อนและท้องฟ้าสว่างใส ขณะเหล่านักรบกำลังสู้กันอย่างดุเดือด ทั้งๆ ที่เป็นเวลาใกล้เที่ยง ท้องฟ้าได้เริ่มสลัวลงๆ ทำให้ทหารเห็นศัตรูยากขึ้นๆ การสู้รบจึงค่อยๆ ผ่อนคลายความรุนแรง เมื่อแม่ทัพของทั้งสองฝ่ายเงยหน้าดูฟ้าก็เห็นว่าความมืดกำลังเข้ามาเยือน เพราะดวงอาทิตย์ได้ถูกเงามืดเข้ามาบดบัง จึงสั่งให้เหล่าทหารวางอาวุธ เพราะคิดว่า นี่เป็นลางร้ายที่เกิดจากความพิโรธของเทพเจ้า นั่นคือพระองค์ทรงปรารถนาให้ทั้งสองฝ่ายยุติการสู้รบ แล้วกลับมาเป็นมิตรกัน การสู้รบครั้งนั้นจึงยุติ และทั้งสองฝ่ายได้หันมาสมานมิตรไมตรีกันโดยการให้พระราชธิดา Aryenes ในกษัตริย์ Lydian ทรงเข้าพิธีสมรสกับพระราชบุตรในกษัตริย์ Medes
Herodotus ยังได้กล่าวถึงปราชญ์ Thales แห่งเมือง Miletus ว่า สามารถพยากรณ์วัน-เวลาที่เกิดสุริยุปราคาครั้งนั้นได้อย่างถูกต้องด้วย ทว่าคำพยากรณ์นั้น ไม่มีชาว Lydian หรือชาว Medes คนใดรู้
ชาวจีนเป็นอีกชนชาติหนึ่งที่สนใจปรากฏการณ์สุริยุปราคามาตั้งแต่เมื่อ 400 ปีก่อนคริสตกาล และมีความเชื่อว่า ปรากฏการณ์นี้เกิดจากพญามังกรตัวหนึ่งที่หิวกระหายได้พยายามกลืนกินดวงอาทิตย์ โดยเริ่มกลืนทีละน้อยๆ แล้วค่อยๆ กลืนลึก จนดวงอาทิตย์หดหายไปทั้งดวง แต่บางครั้งก็มีวงแสงเหลืออยู่ให้เห็น และบางครั้งก็กินดวงอาทิตย์เพียงบางส่วน และทุกครั้งที่คนจีนเห็นปรากฏการณ์นี้ จักรพรรดิจีน ขุนนาง แม่ทัพ และประชาชนทุกคนจะตระหนกตกใจกลัว และเปล่งเสียงร้อง เพื่อให้พญามังกรคายดวงอาทิตย์ออกจากปาก พร้อมกันนั้นก็พากันตีกลอง ฆ้อง และเคาะไม้ ให้มีเสียงดังเพื่อให้พญามังกรตกใจกลัว แล้วคายดวงอาทิตย์ออกมา มีคราวหนึ่งที่องค์จักรพรรดิทรงตกพระทัยมาก เพราะนักดาราศาสตร์แห่งราชสำนักชื่อ Hsi และ Ho ไม่ได้ทูลเตือนพระองค์ล่วงหน้าว่า พญามังกรจะมากินดวงอาทิตย์ พระองค์จึงทรงบัญชาให้ประหารชีวิตโหรทั้งสองทันที เพราะทำงานถวายบกพร่อง
ตัวอย่างต่างๆ ดังที่กล่าวมานี้เกี่ยวข้องกับอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์ เพราะมนุษย์ปักใจเชื่อว่า ฟ้ากำหนดชะตาชีวิตของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดาวเคราะห์มาอยู่ใกล้กัน สุริยุปราคา จันทรุปราคา ดาวหาง ฝนอุกกาบาต ดาวคริสต์มาส ฯลฯ แต่เมื่อถึงวันนี้เรารู้ว่าตำแหน่งของดาวต่างๆ มิได้สามารถกำหนดชะตาใครได้ คือ ชีวิตของเรามิได้เป็นคำบัญชาจากสวรรค์อีกต่อไป
อ่านเพิ่มเติมจาก The Jupiter Effect โดย John C. Gribbin และ Stephen M. Plagemann จัดพิมพ์โดย Vintage Books ในปี 1975
สุทัศน์ ยกส้าน
ประวัติการทำงาน-ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" จาก "ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน" ได้ทุกวันศุกร์