“น้ำมันรำข้าว” ดีต่อสุขภาพ ป้องกันโรคหัวใจ ช่วยเพิ่มไขมันดีและลดไขมันเลว แต่คนไทยไม่นิยมเพราะ “แพง” ญี่ปุ่นผลิตน้ำมันรำข้าวได้คุณภาพดีแต่ขาดวัตถุดิบ ขณะที่อินเดียวัตถุดิบพร้อมแต่คุณภาพยังเป็นรอง ส่วนจีนต้องต่อสู้กับความเชื่อว่าน้ำมันรำข้าวไม่ดีต่อสุขภาพ เหล่านี้คือข้อดี-ข้อด้อยของวงการน้ำมันรำข้าวแต่ละประเทศที่มาร่วมประชุมกันที่กรุงเทพฯ
มหาวิทยาลัยนเรศวรร่วมกับสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) การประชุมวิชาการน้ำมันรำข้าวนานาชาติ เปิดตลาดไทยสู่ตลาดโลก ระหว่างวันที่ 24 – 25 สิงหาคม 60 ณ โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส กรุงเทพฯ เพื่อแสดงศักยภาพของประเทศไทยด้านวิชาการ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของอุตสาหกรรมน้ำมันรำข้าวไทย
ผศ.ดร.เหรียญทอง สิงห์จานุสงค์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางด้านวิชาการด้านไขมันและน้ำมัน มหาวิทยาลัยนเรศวร ผู้เป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมวิชาการในครั้งนี้ เปิดเผยถึงความคาดหวังว่า การประชุมนี้จะสามารถช่วยยกระดับองค์ความรู้ เพื่อให้ทั่วโลกได้รู้จักถึงประโยชน์ที่ได้จากน้ำมันรำข้าวและหันมาบริโภคน้ำมันรำข้าวมากยิ่งขึ้น “น้ำมันรำข้าวนั้นสามารถป้องกันในเรื่องของโรคหัวใจ ช่วยเพิ่มไขมันที่ดีและลดไขมันที่ไม่ดีในร่างกาย นอกจากนี้ยังมีวิตามินอี ที่ช่วยในเรื่องความสวยความงามอีกด้วย ถึงแม้ว่าประเทศไทย จะมีการผลิตข้าวและส่งออกน้ำมันรำข้าวเป็นจำนวนมาก แต่คนไทยก็ยังไม่นิยมบริโภคน้ำมันรำข้าว เนื่องจากราคาที่แพงกว่าน้ำมันประเภทอื่นๆ ในท้องตลาด”
พร้อมกันนี้ทีมข่าวผู้จัดการวิทยาศาสตร์ ยังได้สัมภาษณ์ผู้ประกอบการจากประเทศต่างๆ ที่มาเข้าร่วมการประชุมวิชาการน้ำมันรำข้าวนานาชาติ ในครั้งนี้ด้วย
ศาสตราจารย์เสว่ยปิง (Xuebing Xu) จากบริษัทศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพไวมาร์ (เซี่ยงไฮ) จำกัด (มหาชน) (Wilmar (Shanghai) Biotechnology Research & Development Center Co., Ltd) กล่าวว่า ในประเทศจีนนั้นมีประชากรอยู่มากก็จริง แต่มีประชากรไม่ถึงร้อยละ 10 ของประชากรจีนที่บริโภคน้ำมันรำข้าว เนื่องจากความประชาขนส่วนใหญ่นั้น มีค่านิยมว่าการบริโภคน้ำมันรำข้าวนั้นไม่ดีต่อสุขภาพของพวกเขา ทางบริษัทจึงต้องเร่งทำการโปรโมทเกี่ยวกับประโยชน์ของน้ำมันรำข้าว ทั้งทางโทรศัพท์และบทความ
ส่วนตัวแทนจากบริษัทออยซ่า แอนด์ เฟท เคมีเคิล จำกัด (มหาชน) (Oryza Oil and Fat Chemical Co., Ltd) ประเทศญี่ปุ่นเปิดเผยกับว่าตลาดการบริโภคน้ำมันรำข้าวของประเทศญี่ปุ่นนั้นกำลังเติบโตช้าๆ จากเมื่อสองปีที่แล้ว ทั้งนี้เป็นเพราะประเทศญี่ปุ่นนั้นมีเทคโนโลยีและงานวิจัยพร้อมที่จะผลิตและสกัดสารจากรำข้าว เพื่อมาทำผลิตภัณฑ์เสริมความงาม แต่ประเทศญี่ปุ่นนั้นยังขาดแคลนในเรื่องของวัตถุดิบ ทำให้ต้องมีการนำเข้ารำข้าวจากไทย เวียดนาม และอินเดีย
แตกต่างจากประเทศอินเดียที่มีทั้งในของส่วนวัตถุดิบรำข้าว และมีเทคโนโลยีพร้อม ทำให้อินเดียเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรำข้าว เป็นอันดับแรกของโลก แต่ถึงอย่างนั้น ราจวี อโรลา รองประธานกรรมการบริษัทมิวเวส อินเดีย จำกัด(มหาชน) (Muez-Hest India Pvt.Ltd) กล่าวว่า คุณภาพของนำมันรำข้าวที่ออกมานั้น ก็ยังไม่สู้น้ำมันรำข้าวจากประเทศญี่ปุ่น หลังจากนี้ประเทศอินเดียจะพัฒนาในส่วนของเทคโนโลยีต่อไป ไม่ใช่เพื่อแข่งขันเพียงอย่างเดียว แต่เพื่อรองรับการบริโภคน้ำมันรำข้าวของทั่วโลกด้วย
เหงียน ถิ เหละ จี (Nguyen Thi Le Ji) ตัวแทนจากบริษัทผู้ประกอบการในเวียดนาม กล่าวว่า ประเทศเวียดนามนั้นมีการปลูกข้าวเป็นจำนวนมาก แต่ก็เหมือนกับหลายๆ ประเทศที่น้ำมันรำข้าวนั้น ยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายในภาคประชาชนมากนัก ทางบริษัทจึงต้องทำการโฆษณา และสร้างความร่วมมือในภาคการตลาด เพื่อเผยแพร่ประโยชน์ของน้ำมันรำข้าว ให้คนทั้งในและนอกประเทศได้รู้จัก
“ในการประชุมครั้งหน้านี้ประเทศเวียดนามจะเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมน้ำมันรำข้าวนี้ โดยการประชุมนั้นจะถูกจัดขึ้น ในเดือนพฤษภาคม ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ซึ่งการประชุมหน้าจะมีการส่งต่อความองค์ความรู้แก่ผู้บริโภคและมีการให้ทุนนักเรียน นักศึกษาเพื่อวิจัยเกี่ยวกับรำข้าวอีกด้วย” เหงียน ถิ เลกล่าว