ใครๆ ก็รู้จัก Stephen Hawking จนเราต้องยอมรับว่า เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบันที่โลกรู้จักดีที่สุด หลายคนมักเปรียบเทียบ Hawking กับ Albert Einstein ว่าเป็นคนที่ชอบเสนอทฤษฎีฟิสิกส์ที่แปลกและแหวกกฎอย่างไม่น่าเชื่อถือ แต่ผลคำนวณหรือคำทำนายเหล่านั้นของ Hawking ในเวลาต่อมาก็ได้รับการยืนยันว่าเป็นจริงทุกประการ
ในปี 1988 Hawking ได้เรียบเรียงหนังสือ “A Brief History of Time” ซึ่งติดอันดับเป็นหนังสือขายดีที่สุดในโลกเล่มหนึ่ง เพราะขายได้ประมาณ 120 ล้านเล่ม สถิตินี้นับเป็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์มาก เพราะไม่มีนักฟิสิกส์คนใดสามารถเขียนหนังสือฟิสิกส์ที่เป็นเบสเซลเลอร์ได้ ทั้งๆ ที่เป็นคน “พิการ” พูดแทบไม่ได้เลย แต่ก็เก่งถึงระดับเป็นศาสตราจารย์ Lucasian แห่งมหาวิทยาลัย Cambridge ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ Isaac Newton เคยครอง นอกจากนี้ Hawking ก็ยังได้รับเหรียญ Copley ด้วย ซึ่งวงการฟิสิกส์ถือว่าเป็นเกียรติสูงสุดที่นักฟิสิกส์จะได้รับจากสมาคม Royal Society (Hawking ยังไม่ได้รับรางวัลโนเบล) จากผลงานที่เชื่อมโยงทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปกับกลศาสตร์ควอนตัมในกรณีของหลุมดำ และการถือกำเนิดของเอกภพ โดยไม่มีใครในโลกรู้ว่า คนที่เป็นโรคกล้ามเนื้อเสื่อมสภาพ เช่น Hawking ซึ่งเป็นมนุษย์ cyborg คือ ต้องพึ่งพาเครื่องจักรกลตลอดเวลา สามารถคิดและทำงานฟิสิกส์ทฤษฎีที่แสนยากได้อย่างไร
ตั้งแต่ Hawking เป็นเซเล็บ โลกได้พบว่า คนทั่วไปสนใจอ่านทุกข่าวที่เกี่ยวกับตัวเขาทั้งในหน้าหนังสือพิมพ์ หรือดูบทละครโทรทัศน์ที่มี Hawking แสดงเป็นตัวประกอบทั้งๆ ที่เคลื่อนไหวแทบไม่ได้ และ Hawking ใช้ความได้เปรียบในฐานะที่เป็นคนดังของโลกเอ่ยเตือนสังคมเรื่องภัยที่จะเกิดจากการทำลายสิ่งแวดล้อม และการต่อสู้กับโรคระบาดต่างๆ รวมถึงโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS) เพื่อให้ประชาชนรับรู้ เข้าใจ และร่วมมือกันกำจัดภัยร้ายแรงทุกชนิดที่กำลังคุกคามมนุษยชาติ
การที่ Hawking สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ดีเลิศ คงเกิดจากเหตุผลสามประการ คือ
(1) เขาเป็นอัจฉริยะผู้รู้แจ้งเห็นจบในแขนงวิชาฟิสิกส์ที่ตนถนัด
(2) เขามีความกล้าหาญที่ได้ต่อสู้ จนชนะอุปสรรคและข้อจำกัดด้านร่างกายอย่างเด็ดเดี่ยว ไม่ท้อแท้ หรือยอมแพ้ ความเพียรพยายามของ Hawking นั้นมีมาก ถึงระดับที่คนอวัยวะครบ 32 ต้องรู้สึกอาย
(3) เขาดำเนินชีวิตของเขาอย่างสง่างาม เป็นคนมีอารมณ์ขัน และขี้เล่น เช่น เมื่อนักหนังสือพิมพ์ถาม Hawking ว่า คุณคิดว่า มนุษย์จะเข้าใจฟิสิกส์ได้หมดเมื่อไร Hawking ตอบว่า ผมไม่อยากให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเลย เพราะถ้าเป็นจริง ผมจะตกงานครับ
Stephen William Hawking เกิดเมื่อวันที่ 8 มกราคม ค.ศ.1942 (วันเดียวกับที่ Galileo เสียชีวิต) บิดาเป็นนักชีววิทยา ส่วนมารดาเป็นแม่บ้าน Hawking มีน้องสาว 2 คน และน้องชายบุญธรรม 1 คน
ในเบื้องต้นครอบครัวนี้พำนักในลอนดอน แต่ขณะมารดาใกล้จะคลอด Hawking กรุงลอนดอนในเวลานั้นได้ถูกถล่มด้วยระเบิดจากจรวด V2 ของนาซีเยอรมันตลอดเวลา มารดาจึงนำท้องไปคลอดที่ Oxford เมื่ออายุ 8 ขวบ Hawking เข้าศึกษาที่โรงเรียนมัธยม St. Albans for Girls ซึ่งเปิดรับเด็กผู้ชายที่อายุไม่ถึง 10 ขวบเข้าเรียน แล้วได้ย้ายไปเรียนต่อที่โรงเรียน St. Albans ซึ่งเปิดสอนสำหรับเด็กผู้ชายโดยเฉพาะ ประวัติการเรียนของ Hawking ที่นี่แสดงว่า เรียนได้ดี แต่ไม่เด่นมาก (ในฐานะที่เป็นศิษย์เก่า นักฟิสิกส์ Hawking ผู้ยิ่งใหญ่เคยไปบรรยายที่โรงเรียนเก่าเป็นครั้งคราว)
ขณะเรียนที่นี่ Hawking ได้ครูสอนคณิตศาสตร์ชื่อ Dikran Tahla ซึ่งสอนดีจน Hawking ต้องการจะเป็นนักคณิตศาสตร์บ้าง แต่บิดาต้องการให้ Hawking เรียนเคมีที่ University College แห่งมหาวิทยาลัย Oxford มากกว่า เพราะบิดาเคยเรียนที่นั่น แต่ได้พบว่ามหาวิทยาลัยไม่มีทุนให้นิสิตเรียนคณิตศาสตร์ Hawking จึงสมัครเรียนฟิสิกส์แทน และได้ทุนเล่าเรียน อาจารย์ที่เคยสอน Hawking ปรารภว่า วิธีคิดและจิตใจของ Hawking แตกต่างจากเพื่อนทุกคนในห้อง อีกทั้งเป็นคนที่ไม่ชอบจดคำบรรยาย และไม่ชอบทำการทดลองในห้องปฏิบัติการ เวลารู้สึกเบื่อเรียน Hawking จะไปทำหน้าที่นายท้ายให้สัญญาณฝีพายเรือ
ในการสอบจบปริญญาตรี Hawking ทำคะแนนได้คาบเส้นระหว่างเกียรตินิยมอันดับหนึ่งกับอันดับสอง คณะกรรมการสอบจึงให้ Hawking มาสอบสัมภาษณ์ เพื่อจะได้ตัดสิน และคณะกรรมการก็ประจักษ์ว่า Hawking มีความฉลาดเฉลียวกว่ากรรมการหลายคนที่สอบเขาอยู่ Hawking จึงสอบผ่านด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ทำให้สามารถไปเรียนต่อที่ Trinity College แห่งมหาวิทยาลัย Cambridge ได้ และตั้งใจว่าจะวิจัยเรื่องอนุภาคมูลฐาน หรือเรื่องเอกภพวิทยา ในที่สุดก็ได้ตัดสินใจทำวิจัยด้านเอกภพวิทยา เพราะวิทยาการสาขานี้มีทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของ Einstein เป็นทฤษฎีหลัก ที่ Hawking สนใจมากเป็นพิเศษ
ในระยะเวลาสองปีแรกที่มหาวิทยาลัย Cambridge Hawking ไม่ได้แสดงความสามารถอะไรที่โดดเด่นมาก และรู้สึกเริ่มมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยเฉพาะที่มือ ขาและเท้า เวลาเดินจะหกล้มบ่อย ยกแขนไม่ขึ้น ถือของในมือไม่ได้ หยิบจับของที่มีขนาดเล็กค่อนข้างลำบาก ลุกนั่งไม่สะดวก และรองเท้าแตะที่ใส่หลุดบ่อย
เมื่อตระหนักว่า อาการงุ่มง่ามเหล่านี้เกิดจากความปรกติของร่างกาย Hawking จึงไปพบหมอและหมอบอก Hawking วัย 21 ปีว่า เขากำลังป่วยเป็นโรค Lou Gehrig ซึ่งเป็นชื่อของนักเบสบอลชาวอเมริกันที่ได้ล้มป่วยในปี 1998 ด้วยอาการกล้ามเนื้อและเส้นประสาทตามแขนและขาอ่อนแรง จนทำให้รู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียไปทั้งตัว อาการนี้เกิดจากสมองส่วนที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อไม่สามารถสั่งการให้กล้ามเนื้อทำงานได้อีกต่อไป Gehrig จึงเป็นอัมพฤกษ์ จากนั้นอาการก็เปลี่ยนไปเป็นอัมพาตอย่างสมบูรณ์ และเสียชีวิตในอีกสองปีต่อมา
ตามปกติหลังจากที่แพทย์ได้ตรวจอาการและพบว่าใครเป็น ALS คนไข้จะเสียชีวิตใน 3 ถึง 5 ปีต่อมา แต่ในกรณีของ Hawking แม้เวลาจะผ่านไปถึง 47 ปี Hawking ก็ยังสามารถผลิตผลงานวิจัยด้านจักรวาลวิทยาที่ยากระดับสุดยอดได้ตลอดเวลา แม้จะไม่รวดเร็วหรือคล่องแคล่วเหมือนในวัยหนุ่มก็ตาม และเมื่อ Hawking รู้ว่า ตนจะมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน เขาจึงตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตทำงานวิจัยฟิสิกส์ให้ได้มากที่สุด และดีที่สุด
ประจวบกับช่วงเวลานั้น Hawking ได้พบรักกับ Jane Wilde ความรักและความหวังทั้งสองอย่างนี้ได้ขับเคลื่อน Hawking วัย 23 ปี ผู้เป็นอัมพฤกษ์ได้แต่งงานกับคนรัก และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกในอีกหนึ่งปีต่อมา โดยมี Dennis Wiliam Scianna เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ จากนั้นได้ทุนวิจัยทำงานในฐานะนักวิจัยหลังปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัย Cambridge
ณ เวลานั้น นักฟิสิกส์ด้านเอกภพวิทยามีความเห็นเกี่ยวกับการถือกำเนิดของเอกภพแยกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเชื่อในทฤษฎี Steady State ว่าเอกภพมีการทรงสภาพ คือความหนาแน่นไม่เปลี่ยนแปลง แต่อีกฝ่ายหนึ่งเชื่อในทฤษฎี Big Bang ที่แถลงว่าเอกภพถือกำเนิดจากการระเบิดครั้งมโหฬาร
ในปี 1970 Hawking กับ Roger Penrose ได้นำเสนอทฤษฎีกำเนิดของเอกภพว่า ถ้าทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของ Einstein เป็นจริง เอกภพตามแบบจำลองของ Alexander Friedman ต้องถือกำเนิดจากภาวะเอกฐาน (singularity) คือสถานะที่มีค่าความหนาแน่นสูงถึงอนันต์ ดังนั้นภาวะเอกฐานจึงเป็นเรื่องจริงและมีจริงในธรรมชาติ แทนที่จะเป็นเพียงความคิดเชิงนามธรรมในคณิตศาสตร์เท่านั้น และเป็นภาวะที่สามารถพบได้ในทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป
ผลงานของคนทั้งสองจึงสนับสนุนทฤษฎี Big Bang และนำมาซึ่งชื่อเสียง จนทำให้ Hawking และ Penrose ได้รับรางวัล Adams Prize ร่วมกัน
จากนั้น Hawking เริ่มสนใจเรื่องหลุมดำ ซึ่งมีมวลมหาศาล และมีแรงโน้มถ่วงที่ทรงพลังมาก จนทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปแบบคลาสสิกทำนายว่า แม้แต่แสงก็ไม่สามารถหนีออกจากหลุมดำได้ แต่ Hawking ได้พบว่า ในกรณีของหลุมดำที่มีขนาดเล็กมาก คือ มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวประมาณ 10-15 เมตร และหนักถึง 109 ตัน ขนาดที่เล็กระดับอะตอมของหลุมทำให้ต้องใช้กลศาสตร์ควอนตัมในการศึกษา และในเวลาเดียวกันมวลที่มากมหาศาลของหลุมทำให้ต้องใช้ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปเพื่ออธิบาย การผสมผสานทฤษฎีหลักของฟิสิกส์ทั้งสองทฤษฎี ทำให้ Hawking ได้ข้อสรุปว่า หลุมดำแบบควอนตัมสามารถระเหิดได้ โดยการแผ่รังสี ซึ่งเรียกว่ารังสี Hawking ออกมา และในที่สุดหลุมดำนั้นก็อันตรธานไป
ผลงานเหล่านี้ทำให้ Hawking ได้รับเลือกเป็น Fellow of the Royal Society (F.R.S.) เมื่อมีอายุเพียง 32 ปี ในขณะที่กำลังมีชื่อเสียงโด่งดัง สุขภาพของ Hawking ก็ได้ทรุดลงมาก จนพูดไม่ได้ จะมีก็แต่คนใกล้ชิดเท่านั้นที่รู้ว่า Hawking กำลังพึมพำอะไร
ในปี 1985 ขณะเดินทางไป CERN ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยนิวเคลียร์ของยุโรปที่ Geneva สวิสเซอร์แลนด์ Hawking ได้ล้มป่วยเป็นโรคปอดบวม จนเกือบเสียชีวิต และต้องเข้ารับการผ่าตัดหลอดเสียง ความกดดันด้านสุขภาพและการงานทำให้ Hawking กับภรรยาต้องหย่ากัน หลังจากที่มีลูก 3 คน เป็นชาย 2 และหญิง 1 คน
Hawking ได้รับรางวัลมากมาย เช่น Albert Einstein Prize ในปี 1979 รางวัล Wolf Prize in Physics ในปี 1988 และในปี 2009 ประธานธิบดี Barach Obama ได้มอบเหรียญ Presidential Medal of Freedom ซึ่งเป็นเหรียญเกียรติยศสูงสุดสำหรับคนทั่วไปจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา และในปี 2002 สถานีวิทยุกระจายเสียง BBC ได้สำรวจประชามติในอังกฤษและพบว่า Hawking เป็นชาวอังกฤษหนึ่งในร้อยคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ ในปี 2008 องค์การ Research America ได้สำรวจพบว่า Hawking คือ นักวิทยาศาสตร์ผู้ยังมีชีวิตอยู่ที่ชาวอเมริกันรู้จักดีที่สุด
สำหรับความเป็นมาของโรค ALS นั้น ประวัติแพทยศาสตร์ได้บันทึกว่า แพทย์ฝรั่งเศสชื่อ Jean-Martin Charcot คือบุคคลแรกที่ได้กล่าวถึงโรคนี้ในปี 1869 แต่เข้าใจผิดว่า เป็นอาการป่วยชั่วคราว และผู้ป่วยคงใช้เวลาอีกไม่นานในการฟื้นฟูสภาพก็จะหาย ถึงวันนี้แพทย์ได้พบว่าคนที่ป่วยเป็นโรคนี้คือโรค Amyotrophic Lateral Sclerosis หรือ ALS มีพบในคน 5 คน ในทุก 100,000 คน และจำนวนผู้ป่วยเพิ่มทุกปี โดยเฉพาะในอเมริกามีผู้ป่วย ALS ประมาณ 5,000 คน ส่วนในอังกฤษคนที่เป็น ALS ก็มีประมาณ 5,500 คน และไม่มีใครมีทีท่าว่าจะหาย
ใครก็ตามที่สามารถวิเคราะห์ชื่อ ALS ได้ ก็จะรู้อาการทั่วไปของคนที่เป็นโรคนี้ได้ทันที Amyotrophic เป็นคำสนธิในภาษากรีก จากอักษร “a” ที่แปลว่า ไม่ myo ที่แปลว่า กล้ามเนื้อ และ trophic ที่แปลว่า การบำรุง ดังนั้นเมื่อนำมารวมกัน ทั้งคำจึงมีความหมายว่า กล้ามเนื้อขาดการทำนุบำรุง ทำให้เสื่อมสภาพ ส่วนคำ Lateral นั้น บอกว่าที่บริเวณไขสันหลังเซลล์ประสาทจำนวนมากกำลังจะตาย และเนื้อในบริเวณนั้นแน่นแข็งแบบแผลเป็น (sclerosis) และแม้ร่างกายจะพิการและร่างกายดูไม่สมประกอบ แต่ข้อมูลที่ทำให้ทุกคนสะเทือนใจที่สุด คือ สมองคนไข้ยังทำงานได้ตามปรกติ และตระหนักได้ตลอดเวลาว่า อวัยวะอื่นๆ ของร่างกายกำลังจะหมดสภาพ โดยที่ไม่มีใครทำอะไรได้เลย
ในด้านการเขียนหนังสือ Hawking มีผลงานสำคัญหลายเล่ม เช่น “A Brief History of Time” ในปี 1988 และ “The Grand Design” ในปี 2010 “Black Holes and Baby Universe” ในปี 1993 เป็นต้น
ในปี 2007 Hawking ได้ขึ้นโดยสารเครื่องบินในโครงการ “Vomit Comet” เพื่อทดสอบประสบการณ์ไร้น้ำหนัก เขาจึงเป็นคนพิการคนแรกของโลกที่มีประสบการณ์นี้
หลังจากการหย่ากับภรรยาคนแรกแล้ว Hawking ได้แต่งงานใหม่ แต่ก็หย่าอีก สภาพร่างกายที่พิการ งานที่หนัก เพราะต้องคิด และคำนวณทุกสิ่งทุกอย่างในสมอง ทำให้คู่ชีวิตของ Hawking เครียดและต้องอดทนมาก
ปัจจุบัน Hawking อายุ 73 ปี และเป็นบุคคลตัวอย่างให้นักฟิสิกส์ และคนที่ป่วยด้วยโรค ALS รู้สึกมีความหวัง
สถิติการสำรวจยังแสดงให้เห็นอีกว่า คนวัย 40 ถึง 70 ปีมักป่วยเป็นโรคนี้ ชายเป็นมากกว่าหญิงประมาณ 1.5 เท่า แต่ในบางครั้งคนที่มีอายุน้อยกว่า 40 หรือมากกว่า 70 ปีก็สามารถเป็นได้เหมือนกัน นักฟุตบอลชาวอิตาเลียน ทหารผ่านศึกจากสงครามอ่าว Persia และชาวเกาะ Guam ก็มักเป็นโรค ALS คนมีชื่อเสียงที่ป่วยเป็น ALS ได้แก่ ดาราภาพยนตร์ David Niven ท่านประธาน Mao Tse-Tung ของจีน และนักฟิสิกส์ Steven Hawking ซึ่งสองท่านแรกได้เสียชีวิตไปนานแล้ว แต่ท่านที่สามยังมีชีวิตอยู่ แพทย์ปัจจุบันไม่รู้ชัดว่าอะไรคือสาเหตุ และยังไม่พบวิธีชะลออาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ไม่มีวิธีรักษา ALS ที่มีประสิทธิภาพ กระนั้นแพทย์ก็ยังหวังจะมีวิธีป้องกันและรักษาคนที่เป็น ALS ได้ในอนาคต
5-10% ของคนที่เป็น ALS มีสาเหตุจากพันธุกรรม โดยอาการเริ่มต้นของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน เช่น บางคนปล่อยของตกจากมือบ่อย มักหกล้มเวลาเดิน กล้ามเนื้อที่แขนหรือขาอ่อนแรงลงๆ มักมีปัญหาเวลาเปล่งเสียงพูด เป็นตะคริว หรือกล้ามเนื้อกระตุกบ่อย อาการเหล่านี้ทำให้ไม่ประสบความสะดวกนานาประการในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเดิน อาบน้ำ แต่งตัว เมื่ออาการกำเริบ โรคจะรุกลามถึงระบบหายใจ คนไข้จึงต้องมีเครื่องช่วยหายใจ และต้องนอนติดเตียงไปจนตาย
เมื่ออาการรุนแรงขึ้นๆ คนป่วยจะกลืนอาหารลำบาก สำลักง่าย พูดไม่ชัด ลิ้นแข็ง แขนขาลีบ กล้ามเนื้อที่ใช้หายใจ เช่น กระบังลมจะอ่อนแรง รู้สึกเหนื่อยง่าย และหายใจลำบากจนต้องพึ่งพาเครื่องช่วยหายใจ ในที่สุดเมื่อระบบหายใจล้มเหลว ปอดคนป่วยจะมีการติดเชื้อ เพราะสำลักน้ำและอาหาร
แม้ว่าเซลล์ประสาทนำคำสั่ง (motor neuron) ที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อจะเสื่อมสมรรถภาพ แต่เซลล์ neuron ที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของลูกตาและกระเพาะปัสสาวะ รวมถึงอาตยะสัมผัสอื่นๆ ก็ยังทำงานได้ตามปกติ Hawking ใช้กล้ามเนื้อใต้ตาในการสื่อสาร โดยให้ผู้ช่วยใช้ cursor ชี้ไปที่ตัวอักษรต่างๆ บนจอคอมพิวเตอร์ เมื่อ cursor ชี้ตรงตัวอักษรที่ต้องการ Hawking ก็จะส่งสัญญาณให้ผู้ดูแลเลือกอักษรตัวต่อไป จนได้คำหนึ่งคำ จากนั้นก็เลือกคำต่อไปจนได้ประโยค ในที่สุดก็จะได้บทความ นอกจากกล้ามเนื้อใต้ตาแล้ว Hawking ยังสามารถกระดิกนิ้วมือขวา 2 นิ้วเพื่อกดสวิทซ์บนคอมพิวเตอร์ให้อ่านคำเป็นเสียงได้ด้วย
ก่อนปี 1993 แพทย์เคยคิดว่าสาเหตุที่ทำให้คนเป็น ALS มีหลากหลาย เช่น ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง พันธุกรรม สารพิษ ความไม่สมดุลทางเคมีในร่างกาย และการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ แต่ในปี 1993 นักพันธุกรรมศาสตร์และแพทย์ก็ได้พบ gene ที่ทำให้คนป่วย 2% เป็น ALS ซึ่งยีนนี้มีรหัสตรงกับ enzyme ชื่อ superoxide dismutase (SOD1) ซึ่งมีหน้าที่ป้องกันเซลล์ไม่ให้เป็นอันตรายจากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ แพทย์ยังได้พบอีกว่า ยีน SOD1 สามารถกลายพันธุ์ได้กว่า 100 รูปแบบ แต่นักวิจัยก็ยังไม่เข้าใจว่า เหตุใดเอ็นไซม์ที่เปลี่ยนแปลงจึงมีพลานุภาพมากในการทำลายเซลล์ประสาท จากที่เคยคิดว่า สภาพพิษเกิดขึ้นหลังจากที่เซลล์สูญเสียความสามารถในการต่อสู้อนุมูลอิสระ แต่กลับพบว่า การกลายพันธุ์ของเอ็นไซม์สามารถทำลายประสิทธิภาพการทำงานของระบบประสาทได้
ปัจจุบันองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (Food and Drug Administration FDA) ใช้ยารักษา ALS คือ ยา riluzole ที่สามารถป้องกัน motor neuron มิให้ถูกสารเคมีทำอันตรายได้ระดับหนึ่ง
แต่เมื่อทดลองให้คนไข้ ALS กินยา riluzole เพียงขนานเดียวและเปรียบเทียบกับการให้กิน riluzole และ lithium พร้อมกันก็พบว่าหลังจากที่เวลาผ่านไป 15 เดือน คนที่กิน riluzole เพียงขนานเดียวเสียชีวิต 28 คน แต่คนที่กินยาทั้งสองขนาน อาการป่วยได้เสื่อมลงเล็กน้อย จวบจนวันนี้ แพทย์ยังไม่มีวิธีรักษาคนที่เป็น ALS ให้หายขาด อย่างดีที่สุดก็แค่ชะลออาการ
อ่านเพิ่มเติมจาก “Travelling to Infinity, My Life with Stephen” โดย Jane Hawking ในปี 2010 หรือดูภาพยนตร์เรื่อง “The Theory of Everything” ที่ Eddie Redmayne นำแสดง ปี 2014
เกี่ยวกับผู้เขียน
สุทัศน์ ยกส้าน
ประวัติการทำงาน-ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
อ่านบทความ สุทัศน์ ยกส้าน ได้ทุกวันศุกร์