เมื่อเอ่ยถึงจารึกโบราณ ใครๆ ก็จะนึกถึงศิลา Rosetta ซึ่งเป็นจารึกที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เพราะเมื่อ Jean-Francois Champollion อ่านจารึกนี้ออก นักประวัติศาสตร์ และนักโบราณคดีก็สามารถรู้ประวัติความเป็นมาของอารยธรรมอียิปต์ได้ จนทำให้เกิดวิทยาการใหม่แขนงอียิปต์ศึกษา และเมื่อ Henry C. Rawlinson กับ Edward Hicks อ่านภาษาอักษรลิ่มของอารยธรรมบาบิโลนออก โลกก็เริ่มรู้จักวัฒนธรรมบาบิโลน และเมื่อ Michael Ventres อ่านภาษา Linear B ออก โลกก็เข้าใจที่มาของภาษากรีก ด้าน Yuri Knorosov เมื่อสามารถอ่านอักษรมายาออก โลกก็มีความรู้เกี่ยวกับอารยธรรมมายาทันที แต่ในกรณีแผ่นจารึก Phaistos ที่นักโบราณคดีชาวอิตาเลียนชื่อ Luigi Pernier พบที่เมือง Phaistos ซึ่งอยู่ใกล้ฝั่งทางตอนใต้ของเกาะ Crete เมื่อปี 1908 ก็มีชื่อเสียงเช่นกัน แต่ในทางลบ เพราะตราบจนกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่มีใครอ่านจารึกนี้ออก
ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ.1908 Luigi Pernier ได้พบแผ่นจารึกโบราณที่ทำด้วยดินเหนียวแผ่นหนึ่งในห้องใต้ดินของพระราชวังของอารยธรรม Minoan แผ่นจารึกอายุประมาณ 3,700 ปีนี้ เป็นจารึกเพียงหนึ่งเดียวที่โลกมี อีกหนึ่งปีต่อมา Pernier ได้รายงานการพบนี้ แต่มิได้พยายามอ่านหรือถอดข้อความในจารึก
ถึงปี 1909 Arthur Evans ซึ่งเป็นผู้พบพระราชวัง Knossos ของอารยธรรม Minoan ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางด้านเหนือของเกาะ Crete ได้นำภาพถ่าย และภาพสเก็ตซ์ของจารึก Phaistos ลงเผยแพร่ในภาคผนวกของหนังสือ “Scripta Minoa” ที่ Evans เขียนเกี่ยวกับอารยธรรม Minoan ภาพนี้ได้จุดประกายให้นักวิชาการด้านจารึกโบราณต้องการจะเข้าใจความหมายของภาษาที่อยู่ในจารึกนั้นทันที
ลุถึงปี 1921 เมื่อ Evans ตีพิมพ์ผลงานคลาสสิกของเขาชื่อ “The Palace of Minos at Knossos” และได้กล่าวถึงการค้นพบแผ่นจารึกอย่างละเอียด นักอ่านจารึกโบราณทั่วโลกก็มีโจทย์ให้ดำเนินการวิจัยที่ต้องขบคิดในทันที กระนั้นก็ไม่มีใครอ่านจารึกออกตลอดเวลากว่า 100 ปีที่ผ่านมา เพราะเหตุผลหลายประการ เช่น รูปต่างๆ ที่ปรากฏบนแผ่นดินเหนียว Phaistos ทำให้ผู้เชี่ยวชาญ “เห็น” ไม่เหมือนกัน คือ เห็นแตกต่างกันมาก ทั้งๆ ที่ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้สังกัดมหาวิทยาลัยดังๆ เช่น Canbridge ในอังกฤษ Harvard ในสหรัฐอเมริกา และ Perugia ในอิตาลี บางคนเห็นรูปบนแผ่นจารึกเป็นปฏิทินดาราศาสตร์ บ้างเห็นเป็นกระดานเล่นเกมส์ บ้างก็ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของกาพย์กลอนที่ Homer เขียนเป็นภาษากรีก บ้างก็อ้างว่าอักษรที่เห็นเป็นอักษรในภาษา Semitic ภาษา Hittite ภาษาอียิปต์ หรือภาษา Slav
ด้าน John Chadwick ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่เคยประสบความสำเร็จในการถอดรหัสภาษา Minoan จากแผ่นจารึก Minoan script Linear B. ก็อ่านจารึก Phaistos ไม่ออก ความยากในการอ่านนี้ทำให้นักอ่านจารึกโบราณ เช่น Emmett Bennett Jr. แห่งมหาวิทยาลัย Cincinati ในสหรัฐอเมริกา ประกาศในปี 1998 ว่า หนังสือเล่มใดที่นำภาพของจารึก Phaistos ไปเป็นภาพปกก็เปรียบเสมือนการปิดฉลากบนขวดยาด้วยภาพ ขวดยาที่มีกับภาพกกะโหลกศีรษะและกระดูกไขว้ เพราะใครที่กินยาในขวดนั้นจะตาย ฉันใดก็ฉันนั้นใครที่เปิดอ่านหนังสือนั้นก็จะได้ความรู้ที่ผิด
วารสาร American Journal of Archaeology ในปี 2000 ได้เสนอบทความปริทรรศน์เรื่อง “How not to decipher the Phaistos Disc” โดย Yves Duhoux แห่งมหาวิทยาลัย Catholic ที่เมือง Louvain ในเบลเยี่ยมซึ่งได้ขอร้องให้นักอ่านจารึกโบราณทั่วโลกผู้คนเลิกพยายามอ่านจารึก Phaistos เพราะจะเสียเวลาโดยใช่เหตุ
สาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้ไม่มีใครอ่านจารึกออก คือ จารึกนี้เป็น “เอกสาร” ชิ้นแรกของโลกที่ปรากฏก่อนคัมภีร์ไบเบิลฉบับที่ถูกพิมพ์โดย Johannes Gutenberg ถึง 3,000 ปี การมีอายุมากเช่นนี้ทำให้ นักประวัติศาสตร์สงสัยมากว่า หลังจากการประดิษฐ์จารึก Phaistos แล้ว ไม่มีจารึกอะไรเกิดตามมา จนทำให้ภาษา Phaistos ต้องสาบสูญไป 3,000 ปีได้อย่างไร
สำหรับสาเหตุสุดท้ายคือ แผ่นจารึกนี้ นับเป็นสมบัติสำคัญของชาติกรีซ และเป็นสิ่งที่นักทัศนาจรทุกคนเวลาไปเยือนพิพิธภัณฑ์โบราณ Heraklion บนเกาะ Crete จะต้องไปดู แต่ในปี 2007 รัฐบาลกรีซได้ปฏิเสธไม่ให้นักวิชาการต่างชาติวัดอายุแท้จริงของแผ่นจารึกโดยใช้เทคนิค thermoluminescence ด้วยเหตุผลว่า คนกรีกไม่อยากเสี่ยงที่จะรู้ว่าแผ่นจารึกนี้ไม่โบราณจริงดังที่เชื่อกัน เพราะจากรูปลักษณ์ภายนอก จารึกคงถูกสร้างขึ้นเมื่อ 1850-1600 ปีก่อนคริสตกาล ดังนั้นชาวกรีกจะไม่พอใจมาก ถ้ามีใครกล่าวหาว่าจารึกนี้ คือถูกสร้างขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง และจะปฏิเสธไม่ยอมรับข้อกล่าวหานี้ เหมือนดังที่มีคนเคยอ้างว่า Heinrich Schliemann สร้างหลักฐานลวงว่า ตนได้พบเมือง Troy และอารยธรรม Mycenae และ Phaistos ไม่โบราณจริงมันก็คือ มนุษย์ Piltdown แห่งโลกจารึกโบราณ เพราะอาจมาจากดินแดนที่ไม่ใช่ Crete แต่เป็น Anatolia เพราะรูปหนึ่งในจารึกดูคล้ายรูปที่ปรากฏบนแผ่นหินที่ปักอยู่บนหลุมฝังศพใน Anatolia และถ้าเป็นเช่นนี้จริง ภาษาบนจารึกก็ไม่ใช่ภาษา Crete
ตัวแผ่นจารึก Phaistos ทำจากดินเหนียวเนื้อละเอียด มีลักษณะเป็นจานแบนกลม มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 16 เซนติเมตร และหนา 1.9 เซนติเมตร ทั้งสองหน้าของแผ่นมีภาพที่ถูกจารึกเรียงเป็นเกลียววนออกจากจุดศูนย์กลาง และทันทีที่มีการลงจารึกเรียบร้อย แผ่นดินเหนียวได้ถูกนำไปเผาไฟ จารึกมีรูปทั้งหมด 242 รูป และรูปเหล่านี้มีลักษณะที่แตกต่างกัน 45 รูปแบบ (เพื่อเปรียบเทียบ ภาษาอังกฤษมี 26 พยัญชนะที่ไม่เหมือนกัน และตำราภาษาอังกฤษหนึ่งหน้าตามปรกติจะมีพยัญชนะนับ 1,000)
เกลียวบนจารึกถูกแบ่งออกเป็นช่องๆ ได้ 31 ช่องบนด้านหนึ่ง และ 30 ช่องบนอีกด้านหนึ่ง ช่องหนึ่งๆ มี 3-4-5 รูป ถ้าพิจารณาจากลักษณะของรูปแล้วก็จะเห็นว่าจารึกเกิดจากการกดภาพต้นแบบลงบนแผ่นดินเหนียว รูปมิได้เกิดจากการแกะสลักแต่อย่างใด มันจึงเป็นภาพพิมพ์
ในการประดิษฐ์จารึก คนลงจารึกเริ่มลงจากขอบก่อนแล้ววนเข้าสู่จุดศูนย์กลาง เพราะรูปบางรูปเอนไปทางด้านขวาจึงแสดงว่าการพิมพ์จารึกจะเริ่มจากขวาไปซ้าย ซึ่งอาจทำได้โยการหมุนจาน ดังนั้นเวลาอ่านจารึกผู้อ่านจะต้องเริ่มอ่านจากขอบก่อน
ลักษณะของรูปและจำนวนเครื่องหมายบอกความสามารถสองประการของผู้จารึก (ถ้าจารึกนี้มิใช่ปฏิทินหรือกระดานเล่นเกมส์) คือ อัตราส่วนระหว่างจำนวนรูปกับเครื่องหมายบนจารึก Phaistos ค่อนข้างต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราส่วนเดียวกันในภาษาอังกฤษ ดังนั้น ถ้าไม่มีปัจจัยอื่นๆ มาช่วย การถอดจารึกจะไม่มีทางเป็นไปได้ ครั้นจะอาศัยคอมพิวเตอร์ช่วยก็ไม่เป็นผล เพราะคอมพิวเตอร์ต้องอาศัยการวิเคราะห์เชิงสถิติ แต่จารึกมีจำนวนรูปน้อยเกินไป
ข้อสังเกตประการที่สอง คือ รูปต่างๆ อาจแทนหมู่พยางค์ ในขณะที่อักษรและเครื่องหมายใช้แทนสระหรือพยัญชนะในภาษาอังกฤษ รูป 45 รูปบนจารึก Phaistos มีจำนวนมากเกินไป มากยิ่งกว่าอักษรในภาษารัสเซียซึ่งมี 36 อักษรเสียอีก แต่ก็น้อยกว่าอักษรภาพ hieroglyphic ของอียิปต์ ยิ่งไปกว่านั้นการแบ่งจารึกเป็นช่องๆ แสดงว่า มันเป็นหมู่พยางค์ไม่ใช่อักษร
จึงเป็นว่า ความพยายามจะอ่านจารึก Phaistos ให้ออก นักโบราณคดีจะต้องขุดหาจารึกลักษณะเดียวกันนี้เพิ่มเติม ในบริเวณฝั่งทางด้านตะวันออกของทะเลเมดิเตอเรเนียน
ดังที่เคยปรากฎในปี 1902 ซึ่งมีการพบรูปปั้นที่ Tuxtla ในเม็กซิโก และรูปปั้นถูกส่งไปเก็บที่ Smithsonian Institution ใน Washington D.C. จนกระทั่งปี 1986 ก็ได้มีการขุดพบจารึกอักษรภาพรูปแบบเดียวกันที่ La Majarra ใกล้ๆ เมือง Tuxtla ผลที่ตามมาคือ นักอ่านจารึกภาษาโบราณสามารถอ่านภาษาโบราณนั้นออก
เมื่อเป็นเช่นนี้ นักโบราณคดีจึงต้องหาจารึกที่มีอักษรแบบเดียวกับจารึก Phaistos อีก มิฉะนั้นก็จะไม่มีวันอ่านจารึก Phaistos ออก แต่ถ้าใช้เทคนิค thermoluminescence วัดอายุของจารึก Phaistos ให้รู้ชัด ถ้าพบว่า ไม่โบราณจริง นักโบราณคดีก็ไม่ต้องขุดหาจารึกเพิ่มเติม แต่ถ้าพบโบราณจริงก็จำต้องขุดหาต่อไป
อ่านเพิ่มเติมจาก Lost Languages: The enigma of the World’s undeciphered scripts ของ Andrew Robinson จัดพิมพ์โดย Thames and Hudson ในปี 2009
เกี่ยวกับผู้เขียน
สุทัศน์ ยกส้าน
ประวัติการทำงาน-ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
อ่านบทความ สุทัศน์ ยกส้าน ได้ทุกวันศุกร์