xs
xsm
sm
md
lg

รู้ได้ไงว่าข้าวไทยหอม ?!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ดร. พนิดา หล่อวงศ์ตระกูล อาจารย์ประจำสาขาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ เจ้าของผลงานวิจัยจมูกกล
ทราบกันดีว่า "ข้าวไทย" นอกจากความนุ่มอร่อยละมุนลิ้นแล้ว กลิ่นข้าวหอมก็เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของข้าวหอมมะลิไทยเช่นกัน แต่ถ้าถามว่าข้าวหอมมะลิไทยหอมแค่ไหน ก็คงตอบได้ยากหากใช้เพียงการดมกลิ่นของมนุษย์ ปัญหานี้ทาง "เทคโนสุวรรณภูมิ" จึงพัฒนาจมูกกล วัดระดับความหอมข้าว หวังยกระดับความน่าเชื่อถือข้าวไทย



ดร.พนิดา หล่อวงศ์ตระกูล อาจารย์ประจำสาขาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ เผยกับทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ว่า ขณะนี้เรื่องข้าวกำลังเป็นประเด็นสำคัญ เมื่อได้ไปดูงานที่โรงสีข้าวก็พบการปลอมปนของข้าว ประกอบกับมีข่าวว่าคุณภาพข้าวของไทยกำลังลดลง ความหอมน้อยลง ซึ่งส่งผลกระทบกับวงการข้าวไทย จึงมีแนวคิดในการพัฒนา "เซ็นเซอร์อาร์เรย์" และระบบจมูกอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับการตรวจวัดระดับความหอมของข้าวไทยขึ้น

"เราพัฒนาตัวจมูกอิเล็กทรอนิกส์ ควบคู่กับระบบเซ็นเซอร์ ความพิเศษอยู่ที่เราใช้เซ็นเซอร์ที่แตกต่างกันถีง 4 ชนิด เป็นการทำงานของพอลิเมอร์และคาร์บอนนาโนทิวบ์ (ท่อคาร์บอนนาโน) ควบคู่กัน การทำงานของเครื่องจะเป็นการส่งอากาศแรงดันสูงเข้าสู่ระบบเพื่อไปยังส่วนเก็บตัวอย่างข้าว จากนั้นกลิ่นก็จะเข้าสู่ส่วนเซ็นเซอร์แล้วประมวลผลออกมาทางระบบประมวลผลในคอมพิวเตอร์ โดยวัดออกมาเป็นเปอร์เซ็นการตอบสนองต่อกลิ่นข้าวเพื่อดูระดับความหอมของกลิ่นข้าว แล้วยังสามารถแยกประเภทข้าวได้ด้วย" ดร.พนิดาเผย

ดร.พนิดา อธิบายแก่ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ อีกว่า "เซนเซอร์อาร์เรย์" ที่เป็นหัววัดจะบอกความแตกต่างของกลิ่นข้าวหอมมะลิและข้าวธรรมดา ส่วนระบบจมูกอิเล็กทรอนิกส์จะใช้การประมวลผลจากเซนเซอร์มาแยกประเภทข้าวหอมมะลิ และข้าวขาวทั่วไป ซึ่งประโยชน์ตรงนี้สามารถนำไปใช้ในการวัดการปลอมปนของข้าว รวมไปถึงการวัดคุณภาพข้าวในแต่ละรอบการผลิต ที่สามารถยืนยันคุณภาพข้าวหอมมะลิได้อีกทางหนึ่ง

ทั้งนี้ "เซ็นเซอร์อาร์เรย์" และระบบจมูกอิเล็กทรอนิกส์สำหรับการตรวจวัดระดับความหอมของข้าวไทยนี้ เป็นส่วนหนึ่งของผลงานวิจัยที่จะจัดแสดงภายในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2557 (Thailand Research Expo 2014) ระหว่างวันที่ 7-11 สิงหาคม 2557 ตั้งแต่เวลา 08.00-18.00 น.ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนขั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.)

นอกจากนี้ ภายในงานยังเตรียมการแสดงผลงานมากมาย อาทิ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประเภทถุงต่างๆ จากพลาสติกชีวภาพ และปรับปรุงสมบัติความร้อนของพลาสติกชีวภาพ จากมหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นการพัฒนาพลาสติกชีวภาพที่สามารถย่อยสลายได้ภายในระยะเวลาสั้น และสามารทนความร้อนได้สูงกว่า 100 องศาเซลเซียส ผลิตภัณฑ์ลดความเผ็ดร้อน ผลงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยนเรศวร ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ช่วยกำจัดสารแคปไซซินที่เป็นสารให้ความเผ็ดร้อนออก จากตุ่มรับรส และผลงานวิจัยที่น่าสนใจอีกมากมายกว่า 30 ผลงาน

ศ.นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ เลขาธิการ วช.กล่าวว่า วช.จัดกิจกรรมนี้ต่อเนื่องกันเป็นเวลากว่า 9 ปีแล้ว ซึ่งปัจจุบันไทยหวังพึ่งการลงทุนจากต่างชาติอย่างเดียวไม่ได้ จำเป็นต้องมีการวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ เพื่อลดต้นทุนให้ต่ำลง เนื่องจากปัจจุบันค่าแรงในประเทศเราสูงขี้น การเข้ามาลงทุนจากต่างประเทศจึงลดลง ไทยจึงต้องวิจัยเพื่อชาติของเราเอง

“เป็นที่น่าดีใจที่ทุกๆปี จะมีงานวิจัยที่ดีและเป็นประโยชน์ออกมาอยู่เสมอ โดยใน 3 ปีที่ผ่านมาเราเน้นงานวิจัยที่มีโอกาสพัฒนาสู่เชิงพาณิชย์ และในปีนี้ก็มีงานวิจัยที่ตอบโจทย์มากมาย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อคนในชาติทุกระดับ ไม่เฉพาะนักวิจัยหรืออาจารย์นักศึกษา แต่ประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะผู้นำชุมชนก็สามารถนำความรู้จากงานวิจัยไปประยุกต์ ใช้ได้จริง" ศ.นพ.สุทธิพรกล่าว

ทางด้าน ศ.นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) กล่าวว่า ทาง สกว.ได้ให้ทุนสนับสนุนการวิจัยแก่หน่วยงานต่างๆ มากมาย โดยเน้นงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ที่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจได้ โดยงานวิจัยที่นำไปจัดแสดงร่วมในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ  ล้วนแล้วแต่เป็นงานวิจัยที่น่าสนใจ

ในส่วนของ ดร.พีรเดช ทองอําไพ ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) กล่าวเสริมอีกว่า งานวิจัยทางด้านเกษตรที่สำคัญและจะนำมาร่วมจัดแสดงภายในงานนิทรรศการวันที่ 7-11 ส.ค.นี้ จะประกอบไปด้วย งานวิจัยที่ช่วยตรวจสารพิษจากเชื้อราในโกดังข้าว ที่กำลังเป็นปัญหาในปัจจุบัน งานวิจัยน้ำมันปาล์มที่คงวิตามินเอ และวิตามินอีไว้ และงานวิจัยอาหารเสริมจากกระดูกปลาสำหรับผู้เป็นโรคกระดูกพรุนในจังหวัดชาย แดนภาคใต้

ภายในมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติยังจัดแสดงผลงานนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติองพระบรมวงศานุวงศ์ และนิทรรศการผลงานวิจัยมากกว่า 250 ผลงาน ใน 9 กลุ่มการวิจัย ภายใต้แนวคิด "วิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ และสังคมอย่างยั่งยืน (Research for Quality of life, Sustainable aeconomy and Society)" นอกจากนี้ยังมีการประชุม และสัมนาเกี่ยวกับการบริหารจัดงานวิจัยของประเทศมากมาย ประชาชนและผู้สนใจสามารถเข้าขมงานได้โดนไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.nrct.go.th และ www.researchexpo.nrct.go.th
ทีมงานวิจัยพลาสติกชีวภาพย่อยสลายได้ จากมหาวิทยาลัยศิลปาการ
ทีมงานวิจัยผลิตภัณฑ์ลดความเผ็ดร้อน จากมหาวิทยาลัยนเรศวร


น้องฝนหลวง สัญลักษณ์ประจำมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2557

Instagram









กำลังโหลดความคิดเห็น