xs
xsm
sm
md
lg

รู้จักนักการเมืองผู้รู้เรื่องชีววิทยา

เผยแพร่:   โดย: สุทัศน์ ยกส้าน

ภาพเหมือนของ Thomas Jefferson
เมื่อประธานาธิบดี John F.Kennedy จัดงานเลี้ยงอาหารค่ำที่ทำเนียบขาวเพื่อเป็นเกียรติแก่ชาวอเมริกันที่ได้รับรางวัลโนเบลในทุกสาขาในปี 1963 ท่านได้กล่าวสุนทรพจน์ในงานว่า คืนนี้นับเป็นคืนที่สำคัญมากคืนหนึ่ง เพราะทำเนียบขาวมีอัจฉริยะบุคคลมากมายมาในงาน จนทำให้พื้นที่ของบริเวณนี้มีความหนาแน่นของ I.Q.สูงที่สุดในโลก ยกเว้นเวลาที่ท่านประธานาธิบดี Thomas Jefferson รับประทานอาหารค่ำตามลำพัง

คำสรรเสริญนี้เป็นการกล่าวยกย่อง Jefferson ผู้เป็นบุคคลระดับตำนานของอเมริกันว่ามีความสามารถระดับสุดยอดในแทบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านวิทยาศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ ดาราศาสตร์ เกษตรศาสตร์ หรือรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะในประเด็นสุดท้ายนี้ Jefferson คือประธานาธิบดีคนที่สามของสหรัฐอเมริกา และเป็นผู้หนึ่งที่ได้ร่างแถลงการณ์ประกาศอิสรภาพของประเทศ

แม้จะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในแทบทุกเรื่อง แต่ท่านก็มีข้อเสีย เพราะชีวิตการเงินในบั้นปลายนั้นล้มเหลว จากการมีหนี้สินท่วมท้นถึงขั้นล้มละลาย จน Jefferson ถึงกับกล่าวว่า “ผมเกิดมาเพื่อสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมรัก”

Thomas Jefferson เกิดที่เมือง Shadwell ใน Albemarle County ของรัฐ Virginia ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 13 เมษายน ค.ศ.1743 (ซึ่งตรงกับรัชสมัยพระเจ้าบรมโกศ) บิดาเป็นผู้นำชุมชน ในวัยเด็ก Jefferson ได้รับการฝึกทำไร่จากบิดา และเริ่มการศึกษาโดยเรียนวิชาฝรั่งเศส เต้นรำ เล่นไวโอลิน หมากรุก และเลข ฯลฯ เมื่ออายุ 14 ปี Jefferson ก็กำพร้าบิดา และได้รับมรดกเป็นที่ดิน 2,750 เอเคอร์ ต่อจากนั้นได้เข้าเรียนที่ College of William and Mary จนสำเร็จการศึกษาขั้นปริญญาตรี เมื่ออายุ 24 ปีได้ออกมาประกอบอาชีพเป็นอัยการ อีก 2 ปีต่อมาก็ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนของรัฐ Virginia ครั้นเมื่ออเมริกาต้องการเป็นอิสระจากการปกครองของอังกฤษ Jefferson เป็นบุคคลหนึ่งที่ได้ร่างคำประกาศอิสรภาพของอเมริกา

หลังจากที่ประเทศได้รับเอกราช George Washington ก็ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนแรก ส่วน Jefferson ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศอีก 4 ปีต่อมา เขาก็ได้ตำแหน่งรองประธานาธิบดีในสมัยของ John Adams และเมื่อ Adams หมดวาระ Jefferson ก็ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 1800

ผลงานที่สำคัญของ Jefferson คือ การซื้อดินแดน Louisiana จาก Napoleon ในราคา 15.52 ล้านเหรียญ ซึ่งทำให้อเมริกามีพื้นที่เพิ่มหนึ่งเท่าตัวในทันทีทันใด และที่ดินผืนนี้ก็ถูกจัดแบ่งเป็นรัฐ 15 รัฐของอเมริกาในเวลาต่อมา

หลังจากที่หมดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีถึง 2 สมัย ในปี 1808 Jefferson ได้พบว่าตนมีหนี้ถึง 24,000 ดอลลาร์ ซึ่งหนี้ทั้งหมดนี้เกิดจากความฟุ่มเฟือยที่ต้องมีคนใช้และทาสร่วม 100 คน เพื่อช่วยจัดงานเลี้ยงรับรองด้วยเหล้าองุ่นจากต่างประเทศบ่อยๆ ที่คฤหาสน์ Monticello

เมื่อไม่มีความสามารถจะเปลื้องหนี้ ธนาคารจึงไม่อนุญาตให้ Jefferson กู้เงินอีกต่อไป และได้คิดหาทางเปลืองหนี้โดยการออกลอตเตอรี่ แต่ยังไม่ทันได้ดำเนินการใดๆ Jefferson ก็เสียชีวิตไปก่อน เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ.1826 สิริอายุ 83 ปี

หลังจากที่ได้เสียชีวิตไปแล้ว ลูกชายของ Jefferson ได้ขายคฤหาสน์ที่ Monticello เพื่อนำเงินไปใช้หนี้ แต่เศรษฐีชื่อ Philip Livy ได้เข้ามาจัดการซื้อ Monticello ไปบูรณะ แล้วทำพินัยกรรมยกให้เป็นสมบัติของชาติ จนกระทั่งถึงวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ.1926 Monticello ก็ได้รับการจดทะเบียนเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ

ในหนังสือ Thomas Jefferson: The Art of Power ของ Jon Meacham ที่จัดพิมพ์โดย Random House ในปี 2012 Meacham ได้กล่าวว่า ในสายตาของนักประวัติศาสตร์ Jefferson เป็นคนที่มีบุคลิกภาพขัดแย้งกันตลอดเวลา เช่น เขาต่อต้านการมีทาส แต่ที่คฤหาสน์ของเขามีทาสผิวดำร่วมร้อย เขาเป็นคนขี้อายที่ไม่ชอบสังคม แต่กลับแสวงหาอำนาจและตำแหน่งทางการเมือง จนได้เป็นถึงประธานาธิบดี และขณะเป็นผู้ว่าราชการแห่งรัฐ Virginia ได้มีผู้กล่าวหาว่า Jefferson มีลูกนอกสมรสกับทาสผิวดำ ซึ่งคำปรักปรำนี้น่าจะทำให้ชีวิตการเมืองของ Jefferson จบสิ้น แต่เขาก็รอดมาได้ และเมื่อภรรยาของตนใกล้จะสิ้นใจ Jefferson ได้กล่าวคำสาบานหน้าภรรยาว่า จะไม่แต่งงานใหม่ แต่เขาก็แอบมีสัมพันธ์กับสตรีที่สมรสแล้วหลายต่อหลายคน

หนังสือยังได้ชี้ให้เห็นความสามารถในการเป็นผู้นำของ Jefferson ว่า มีอิทธิพลต่อบุคคลรอบข้างอย่างไร และ Jefferson ได้ใช้ความเป็นอัจฉริยะทั้งด้านการเมือง และวิทยาศาสตร์ลบล้างคำดูแคลนของบรรดานักวิทยาศาสตร์ยุโรปในสมัยนั้นที่ประณาม และปรักปรำอเมริกาว่า เป็นดินแดนที่ต่ำต้อยและด้อยในทุกๆ เรื่อง เมื่อเปรียบเทียบกับยุโรป ซึ่ง Jefferson ก็ได้ต่อสู้ในประเด็นข้อกล่าวหานี้มาก เป็นเวลานาน เพราะเขาเชื่อว่า ข้อกล่าวหาเหล่านั้นผิดและเหลวไหลทุกประเด็น โดยได้ออกแถลงการณ์คัดค้านด้วยหลักฐานและเหตุผลมากมาย จนนักประวัติศาสตร์หลายคนคิดว่าคำแถลงการณ์ของ Jefferson ในเรื่องนี้ คือการประกาศอิสรภาพของอเมริกาเป็นครั้งที่สอง และหลักฐานหนึ่งที่ Jefferson นำมาใช้ในเรื่องนี้คือ โครงกระดูกของกวาง moose

ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า บุคคลสำคัญที่ออกมาโจมตีและกล่าวหาอเมริกาว่า เป็นดินแดนที่ล้าหลัง คือ Georges-Louis Leclerc หรือที่ทุกคนรู้จักในนามท่าน Count Buffon ซึ่งเป็นนักชีววิทยาที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ด้วยผลงานการเขียนหนังสือชุด Natural History 36 เล่ม ซึ่งเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของสรรพสิ่งบนโลก

หนังสือชุดนี้ได้รับการโจษจรรย์กันอย่างเผ็ดร้อนในวงวิชาการ และได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ เยอรมัน และดัชท์ ดังในเล่มที่ 9 และ 14 Buffon ได้อ้างว่า สัตว์ส่วนมาก (รวมถึงคนด้วย) ที่อาศัยในอเมริกาล้วนมีคุณภาพที่ด้อยกว่าสัตว์ที่อาศัยในยุโรป โดย Buffon ได้ให้เหตุผลว่า เพราะอากาศในอเมริกาหนาวกว่า และชื้นกว่า ยกเว้นกรณี การพบกบที่หนักถึง 17 กิโลกรัม ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่ากบยุโรป แต่กบที่ใหญ่เช่นนี้ Buffon คิดว่า ดูน่าเกลียดมากกว่าน่ารัก

Buffon ได้ให้เหตุผลหลายประการประกอบคำอ้างของเขา ดังนี้คือ เมื่อพิจารณาสัตว์ที่พบทั้งในโลกใหม่ (อเมริกา) และโลกเก่า (ยุโรป) เขาได้พบว่า สัตว์อเมริกันจะมีขนาดเล็กกว่าและอ่อนแอกว่า โลกใหม่มีจำนวนชนิดของสัตว์น้อยกว่าโลกเก่า เพราะสภาพแวดล้อมของโลกใหม่ทำให้สัตว์พิการและต้องตายไปในที่สุด เช่น แกะโลกใหม่จะผ่ายผอม และเนื้อไม่นิ่มเท่าแกะยุโรป Buffon ยังอ้างอีกว่า นกอเมริกันส่วนใหญ่ร้องเพลงไม่ได้ และชาวอินเดียนแดงมีสติปัญญาต่ำ จึงไม่สามารถปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ได้รับการพัฒนา และมีวิวัฒนาการ เป็นต้น

ตัวท่านเคาท์ Buffon เอง ไม่เคยเดินทางออกสำรวจนอกยุโรปเลย ดังนั้น ข้อมูลต่างๆ ที่ท่านอ้างล้วนเป็นสิ่งที่ได้มาจากการอ่านเรื่องที่คนอื่นเขียน และเมื่อคนเหล่านี้เป็นนักท่องเที่ยวหรือนักเดินทาง ที่มิใช่นักชีววิทยา ดังนั้น ข้อความที่บันทึกจึงมีทั้งนิทาน เรื่องเล่า และการสังเกตที่อาจไม่ตรงกับความเป็นจริง ดังที่ Peter Kahn หลังจากที่ได้ไปเยือนอเมริกาแล้ว ได้เขียนรายงานต่อ Swedish Academy ว่า เขาได้เห็นหมีฆ่าวัวโดยการกัดที่คอจนเป็นแผลเหวอะหวะ แล้วได้พ่นลมเข้าไปในศพวัว จนซากวัวตัวนั้นระเบิด เป็นต้น

นอกจากตัว Buffon แล้ว บรรดาลูกหลานของเขา ก็ได้ออกมากระหน่ำซ้ำเติมอีกว่า ทวีปอเมริกานอกจากจะเป็นดินแดนของสิ่งมีชีวิตที่ต่ำต้อยแล้ว ผู้คนก็ด้อยปัญญาด้วย เช่น สุนัขอเมริกันก็เห่าไม่เป็น การบรรยายภาพของอเมริกาเช่นนี้ ทำให้ผู้คนยุโรปยุคนั้นจำนวนมากรู้สึกลังเลที่จะอพยพไปอาศัยอยู่

ในหนังสือ A Philosophical and Political History of the Settlements and Trade of the Europeans in the East and West Indies ของ Thomas Raynal ผู้เป็นเชื้อสายคนหนึ่งของ Buffon ผู้เขียนยังได้ชี้ให้เห็นความอ่อนด้อยทางปัญญาของคนอเมริกันว่า อเมริกายังไม่มีกวีผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีนักคณิตศาสตร์ผู้เก่งกล้า และยังไม่มีอัจฉริยะนักวิทยาศาสตร์เลย แต่ข้อสังเกตเหล่านี้ก็ได้รับการแก้ไข หลังจากที่ Raynal ได้รับประทานอาหารร่วมกับ Benjamin Franklin ในปี 1768

เพราะ Benjamin Franklin เป็นนักวิทยาศาสตร์อเมริกันผู้มีชื่อเสียงจากการทดลองเรื่องการนำไฟฟ้าในบรรยากาศเมื่อปี 1752 และผลการทดลองของเขาได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารของสมาคม Royal Society ของอังกฤษ ดังนั้นในการพิมพ์หนังสือ A Philosophical and Political History ครั้งที่ 3 Raynal จึงได้ขีดฆ่าประโยคที่ดูแคลนคนอเมริกันและทวีปอเมริกาออกจากหนังสือจนหมด แต่ก็สายไปแล้ว เพราะคนยุโรปได้พากันปักใจเชื่อเรื่องความล้าหลังของคนอเมริกันไปอย่างหมดใจแล้ว

ในการปกป้องเกียรติภูมิชาติของตนที่กำลังเกิดใหม่ Jefferson ได้รับภาระงานที่จะต้องพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นพ้องว่า ความคิดของ Buffon ทุกเรื่องเหลวไหล และผิด โดยการนำหลักฐานมาคัดค้านและล้มล้าง

ในบันทึก Notes on the State of Virginia ที่ Jefferson เขียนขณะดำรงตำแหน่งผู้ว่ารัฐ Jefferson ได้หักล้างข้อมูล และข้อกล่าวหาของ Buffon ทุกข้อ เช่น Jefferson โต้ว่า Buffon ไม่เคยมีหลักฐานที่แสดงว่าสภาพแวดล้อมของอเมริกันแตกต่างจากของยุโรป ทั้งๆ ที่ยุโรปและอเมริกามีดวงอาทิตย์ดวงเดียวกัน ดินก็มีองค์ประกอบทางเคมีที่เหมือนๆ กัน ฯลฯ

ในปี 1786 เมื่อ James Madison ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจาก Jefferson ด้วยประสบการณ์ที่เคยเป็นนักวิจัยผู้ช่วยของ Jefferson ทำให้ Madison เขียนบทความเกี่ยวกับอีเห็น (weasel) ว่า อีเห็นในอเมริกามีขนาดใหญ่พอๆ กับอีเห็นในยุโรป คือ มิได้มีขนาดเล็กกว่า ตามที่ Buffon อ้างเลย

สาเหตุที่ Jefferson เขียน Notes on the State of Virginia นั้นเพราะต้องการให้ทุกคนที่อ่านบทความของเขาเลิกเชื่อ สิ่งที่ไร้หลักฐาน เขาต้องการให้ Buffon ประกาศถอนทฤษฎีของตนเองต่อหน้าสาธารณชน ดังนั้นก่อนที่ Jefferson จะเดินทางไปรับตำแหน่งทูตอเมริกาประจำฝรั่งเศส เขาจึงประสงค์จะนำสัตว์ที่อาศัยในอเมริกาไปให้ Buffon ดู เพื่อ Buffon จะได้เปลี่ยนใจ แล้ว Jefferson ก็เริ่มแสวงหากวาง moose ยักษ์ พร้อมกันนั้นก็ได้ขอให้ เพื่อนๆ ของเขาช่วยศึกษาธรรมชาติของกวาง moose ด้วย ทั้งด้านข้อมูลร่างกาย นิสัย และประวัติความเป็นมาของกวาง รวมถึงให้นำกระดูกของกวาง Moose ยักษ์มาให้ด้วย ซึ่งข้อเสนอนี้ได้รับการตอบรับที่ดี

ดังนั้น เมื่อ Jefferson เดินทางถึงฝรั่งเศส เขาได้ขอเข้าพบ Buffon คนทั้งสองได้สนทนากันเป็นเวลานาน และ Jefferson ก็ได้แจ้ง Buffon ว่า กวาง Reindeer ของยุโรปมีขนาดเล็กจนสามารถเดินลอดใต้ท้องกวาง moose ของอเมริกาได้ และในอนาคตอันใกล้นี้ Jefferson จะนำโครงกระดูกของกวาง moose มาให้ Buffon ดู

เมื่อถึงฤดูหนาวของปี 1786 Jefferson ได้ทราบข่าวจากเพื่อน Robert Colburn ว่า ฆ่ากวาง moose ที่สูง 7 ฟุตตัวหนึ่งในป่าของรัฐ Vermont ได้เพราะกวางมีขนาดใหญ่มาก พรานจึงต้องใช้เวลานานถึง 14 วันจึงจะขนซากลงเรือได้

ครั้นเมื่อเรือบรรทุกโครงกระดูกของกวาง moose ยักษ์ เดินทางถึงปารีสเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ.1787 Jefferson รู้สึกดีใจมาก และตั้งใจจะนำโครงกระดูกไปให้ Buffon ดูด้วยตนเอง แต่ Buffon กำลังป่วยไม่สบาย และบอกไม่พร้อมจะรับแขก อย่างไรก็ตาม Buffon ก็คงได้เห็นโครงกระดูก moose ยักษ์ในเวลาต่อมา และ Jefferson คาดว่า Buffon จะปรับแก้ทฤษฎีของตนในการพิมพ์หนังสือครั้งต่อไป แต่อีก 6 เดือนต่อมา Buffon ก็เสียชีวิต ทฤษฎีที่ปรากฎอยู่ในหนังสือ Natural History ของ Buffon จึงไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงใดๆ และเป็นตำราที่ผิดระดับคลาสสิกตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้

ผลที่ตามมา คือ นักปรัชญา Immanuel Kant และกวี John Keats ยังคงเชื่อทฤษฎีของ Buffon ส่วนคนที่เชื่อ Jefferson ก็มีกวี Lord Byron, Washington Irving และ Henry David Thoreau เป็นต้น

นี่จึงเป็นอีกบทบาทหนึ่งของ Jefferson ในการต่อสู้เพื่อความถูกต้องของความคิดเชิงวิทยาศาสตร์ นอกเหนือจากที่ได้ต่อสู้เพื่อความเป็นเอกราชของอเมริกาแล้ว

อ่านเพิ่มเติมจาก Mr. Jefferson and the Giant Moose: Natural History in Early America โดย Lee Alan Dugatkin จัดพิมพ์โดย University of Chicago Press ปี 2009






เกี่ยวกับผู้เขียน

สุทัศน์ ยกส้าน
ประวัติการทำงาน-ภาคีสมาชิกราชบัณฑิตยสถาน และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์

ประวัติการศึกษา - ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

อ่านบทความ สุทัศน์ ยกส้าน ได้ทุกวันศุกร์







กำลังโหลดความคิดเห็น