ย้อนกลับไปเมื่อ 43 ปีที่แล้ว การถ่ายสดภารกิจลงจอดบนดวงจันทร์คือการถ่ายทอดสดที่มีคนทั่วโลกจับดูมากที่สุด ประมาณ 500 ล้านคนซึ่งเป็นหนึ่งในห้าของจำนวนประชากรโลกขณะนั้นต่างจับจ้องก้าวเล็กๆ ของมนุษย์คนหนึ่งที่กลายเป็นก้าวอันยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติ
ก้าวเล็กๆ ของ “นีล อาร์มสตรอง” (Neil Armstrong) ในภารกิจของยานอะพอลโล 11 (Apollo 11) ได้กลายเป็นก้าวกระโดดของการสำรวจอวกาศอีกก้าว และกรุยทางให้มนุษย์อีก 11 คนในโครงการอะพอลโลขององค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐ (นาซา) ได้ขึ้นไปฝากรอยเท้าไว้บนดวงจันทร์
ถึงวันนี้ฮีโร่ในใจใครหลายๆ คนได้จากโลกไปอย่างถาวร ทิ้งไว้เพียงร่างที่เคยสร้างตำนานอันยิ่งใหญ่จากการเป็นมนุษย์คนแรกที่เหยียบดวงจันทร์ เขาเสียชีวิตลงด้วยวัย 82 ปี ในวันที่ 25 ส.ค.2012 จากภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดบายพาสเส้นเลือดหัวใจเมื่อวันที่ 7 ส.ค.
ในภารกิจอันเป็นตำนาน นีล อาร์มสตรอง และ บัซ อัลดริน (Buzz Aldrin) มนุษย์คนที่ 2 บนดวงจันทร์ได้ช่วยกันสำรวจและเก็บตัวอย่างจากดวงจันทร์กลับโลกมาเป็นน้ำหนัก 22 กิโลกรัม ส่วน ไมเคิล คอลลินส์ ลูกเรืออะพอลโล 11 อีกคนขับยานบังคับการโมดูลวนรอบดวงจันทร์รอรับทั้งสองคน
นีล อาร์มสตรองได้รับเลือกจากนาซาให้เข้าเป็นมนุษย์อวกาศกลุ่มที่สอง (second group) เมื่อปี 1962 และมีโอกาสได้บินไปอวกาศครั้งแรกเมื่อเดือน มี.ค.ปี 1966 ในฐานะนักบินบังคับการของยาน เจมินี 8 (Gemini 8) ในเที่ยวบินแคปซูลสองที่นั่งดังกล่าว เขาและเดวิด สก็อตต์ (David Scott) ในฐานะนักบินได้เชื่อมต่อยานอวกาศในวงโคจรเป็นครั้งแรก
อาร์มสตรองและสก็อตต์ได้เทียบยานเข้ายานไร้คนขับอาจีนา (Agena) แต่ภารกิจดังกล่าวก็เกือบเผชิญหายนะ และเป็นวิกฤตในวงโคจรครั้งแรกของสหรัฐฯ เมื่อยานเกิดเกาะติดกับส่วนขับดันทำให้ยานเจมินีเกิดหมุนคว้าง แต่อาร์มสตรองก็กู้วิกฤตมาได้โดยใช้ส่วนขับดันเพื่อกลับสู่ชั้นบรรยากาศ ทำให้ยานมั่นคงขึ้น และต้องจบภารกิจเร็วขึ้น แต่ก็ปิดภารกิจได้อย่างปลอดภัย
3 ปีหลังจากนั้นเขาก็ได้ทำหน้าที่เป็นผู้บังคับการในภารกิจอะพอลโล 11 และได้รับชื่อเสียงจากการเป็นมนุษย์คนแรกที่เหยียบดวงจันทร์ และคำพูดแรกของเขาในขณะที่ย่างเหยียบดวงจันทร์เมื่อ 20 ก.ค.1969 ว่า “นี่คือก้าวเล็กๆ ของมนุษย์ (คนหนึ่ง) แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ” (That's one small step for (a) man, one giant leap for mankind) ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์
“นีลเพื่อนผมได้ย่างก้าวเล็กๆ แต่เป็นก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่ที่ได้เปลี่ยนแปลงโลก และจะอยู่ในความทรงจำตลอดไปในฐานะที่สร้างช่วงเวลาที่สำคัญในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ผมเคยหวังว่าในปี 2019 เราจะได้มายืนร่วมกันอีกพร้อมด้วยเพื่อนร่วมเดินทางของเรา ไมค์ คอลลินส์ (Mike Collins) เพื่อฉลองครบรอบ 50 ปีการลงจอดบนดวงจันทร์ของพวกเรา แต่น่าเศร้าที่เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้แล้ว แต่เมื่อถึงเวลานั้นจิตวิญญาณของเขาจะอยู่กับเรา” อัลดริน มนุษย์ผู้เหยียบดวงจันทร์เป็นคนที่สองกล่าว
เมื่อกลับจากดวงจันทร์และการเดินทางรอบโลกหลังความสำเร็จแล้ว อาร์มสตรองก็รับตำแหน่งที่สำนักงานใหญ่ของนาซาในฐานะผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการบิน และบริหารงานวิจัยและเทคโนโลยีด้านการบินทั้งหมดขององค์กร จากนั้นเขาได้ลาออกจากนาซาในปี 1971 และเข้ารับตำแหน่งศาสตราจารย์ทางด้านวิสวกรรมการบินที่มหาวิทยาลัยซินซินเนติ (University of Cincinnati) ซึ่งเขาทำงานที่นั้นจบทศวรรษ และในปี 1982-1992 เขาได้เป็นประธานบริษัทคอมพิวติงเทคโนโลจีส์ฟอร์เอไวเอชัน (Computing Technologies for Aviation, Inc.) ในชาร์ลอตส์วิลล์ (Charlottesville) เวอร์จิเนีย
อาร์มสตรองเกิดในวาปาโกเนตา โอไฮโอ เมื่อวันที่ 5 ส.ค.1930 และจบปริญญาตรีด้านวิศวกรรมการบินจากมหาวิทยาลัยเปอร์ดัว (Purdue University) ในอินเดียนา และจบปริญญาโททางด้านวิศวกรรมการบินจากมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย (University of Southern California) และได้รับปริญญาดุษฏีบัณฑิตจากอีกหลายมหาวิทยาลัย และหลังจากกลับจากดวงจันทร์แล้วยังได้รางวัลเชิดชูเกียรติจากประเทศต่างๆ อีก 17 ประเทศ
เส้นทางชีวิตก่อนเป็นนักบินอวกาศนั้น อาร์มสตรองได้เป็นนักบินของกองทัพเรืออยู่ 3 ปี ก่อนเข้าทำงานในสำนักคณะกรรมการที่ปรึกษาการบินสหรัฐ (National Advisory Committee for Aeronautics) หรือนาคา (NACA) ซึ่งเปลี่ยนชื่อมาเป็นนาซาในปี 1955 โดยเข้าไปทำงานในส่วนของศูนย์วิจัยลูอิส (Lewis Research Center) และปัจจุบันเปลี่ยนชื่อมาเป็นนาซาเกลนน์ (NASA Glenn)
ขณะเป็นนักบินวิจัยที่ศูนย์วิจัยการบิน (Flight Research Center) ของนาซาในแคลิฟอร์เนีย อาร์มสตรองได้ทำหน้าที่นักบินในโครงการทดสอบเครื่องบินสมรรถนะสูงรุ่นนำร่องจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงเครื่องบินจรวดเอกซ์-15 (X-15) และได้ทดสอบเครื่องบินต่างๆ กว่า 200 แบบ ที่มีทั้งเครื่องบินความเร็วสูง เฮลิคอปเตอร์และเครื่องร่อน
อย่างไรก็ดี สเปซด็อทคอมระบุว่าหลังกลับจากดวงจันทร์ได้ไม่นาน อาร์มสตรองก็ประกาศไม่บินไปอวกาศอีก โดยครอบครัวของเขาได้แถลงหลังการเสียชีวิตว่า นีลอาร์มสตรองเป็นฮีโร่อย่างจำต้องเป็น โดยเขาเชื่อเสมอว่าเขาเพียงแค่ทำงานของตัวเอง เขารับใช้ชาติอย่างเต็มภาคภูมิในฐานะนักบินของกองทัพเรือ นักบินทดสอบและนักบินอวกาศ เขายังยังความสำเร็จสู่ครอบครัวในบ้านเกิดที่โอไฮโอในการทำธุรกิจและงานด้านการศึกษา และกลายเป็นผู้นำชุมชนในซินซินเนติ
“สำหรับใครที่อาจจะถามว่าพวกเขาจะทำอะไรเพื่อเชิดชูเกียรติแก่นีลได้บ้าง เรามีคำของ่ายๆ เคารพในการทำหน้าที่รับใช้ของเขา ในความสำเร็จของเขา และในความอ่อนน้อมของเขา และครั้งหน้าที่คุณเดินออกไปในคืนที่ฟ้าใส แล้วเห็นดวงจันทรืยิ้มลงมาให้คุณ ให้คิดถึงนีล อาร์มสตรอง และขยิบตาส่งไปให้เขา” ครอบครัวอาร์มสตรองเขียนไว้ในคำแถลงหลังการเสียชีวิตของเขา