เมื่อเวลา 7.00 ของเช้าวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1952 สหรัฐอเมริกาได้ทิ้งระเบิดไฮโดรเจนลูกแรกของโลกบนเกาะ Elugelab ในมหาสมุทรแปซิฟิก ดอกเห็ดขนาดใหญ่ได้ถล่มทลายเกาะที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางยาว 0.5 กิโลเมตรจมหายไปในทะเล บรรดาผู้เชี่ยวชาญคาดคะเนว่าพลังระเบิดครั้งนั้นรุนแรงเท่าระเบิดปรมาณูที่เคยทำลายเมือง Hiroshima จนราบเรียบจำนวน 500 ลูก Edward Teller ซึ่งสังเกตดูบันทึกเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ Los Alamos ได้ส่งโทรเลขไปแสดงความยินดีกับความสำเร็จ และบอกว่า “It’s a boy”
อีก 2 ปีต่อมาระเบิดไฮโดรเจนลูกที่สองซึ่งมีพลังงานระเบิดรุนแรงกว่าเดิมได้ถูกทิ้งลงบนเกาะ Bikini ผลงานเหล่านี้ทำให้ E. Teller ได้รับฉายาว่า บิดาของระเบิดไฮโดรเจน ซึ่งเป็นชื่อที่เขาไม่ภูมิใจนัก เพราะเขาชอบบอกทุกคนว่า เขาคือบิดาของลูกสองคน
Edward Teller เกิดเมื่อวันที่ 15 มกราคม ค.ศ. 1908 ที่เมือง Budapest ในประเทศฮังการี บิดามีฐานะดี และมีเชื้อชาติยิว ในช่วงเวลานั้นฮังการีกำลังมีความวุ่นวายมาก เพราะถูกยึดครองโดยออสเตรีย และถูกสงครามโลกครั้งที่หนึ่งทำลายจนผู้คนในประเทศแตกแยก แล้วถูกคอมมิวนิสต์คุกคามด้วยการเข้าครอบครอง นอกจากนี้รัฐบาลฮังการียังต่อต้านคนยิวด้วยการออกกฎหมายจำกัดจำนวนนักศึกษา เชื้อชาติยิวที่จะเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย (numerus clausus) ครอบครัวของ Teller ก็เช่นเดียวกับครอบครัวยิวอื่นๆ ที่ต่างก็พยายามให้การศึกษาที่ดีแก่ลูกๆ เพื่อให้ไปเรียนต่อที่ประเทศเยอรมนี เพราะที่นั่นมีมาตรฐานและคุณภาพการศึกษาสูงกว่า โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ และภาษาเยอรมัน ขณะนั้น คือ ภาษาที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกใช้
เมื่ออายุ 18 ปี Teller ได้เดินทางไปเรียนวิชาวิศวกรรมเคมีที่ มหาวิทยาลัย Karlsruhe และวิชาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัย Munich Teller ได้รับปริญญาเอกฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัย Leipzig ในปี 1930 โดยมี Werner Heisenberg (รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ปี 1932) เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ขณะเรียนที่ Munich ในปี 1928 Teller ถูกรถรางแล่นทับเท้าขวาทำให้ต้องเข้ารับการผ่าตัด จนต้องมีไม้เท้าช่วยพยุงเวลาเดิน และ Teller จะใช้ไม้เท้ากระแทกพื้นทุกครั้งที่ต้องการเน้นให้ผู้คนสนใจฟังตนพูด
หลังสำเร็จการศึกษา Teller ได้งานเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย Göttingen ในปี 1933 เมื่อนาซีเรืองอำนาจในเยอรมนี Teller ต้องอพยพออกนอกประเทศเป็นครั้งที่สอง โดยไม่มีจุดหมายในชีวิตที่แน่นอน รัฐบาลอังกฤษซึ่งมีนโยบายโอบอุ้มนักวิทยาศาสตร์ยิวได้ช่วยให้ Teller เดินทางไป Copenhagen เพื่อทำงานร่วมกับ Niels Bohr แล้วไป London จากนั้นได้เดินทางต่อไปสหรัฐอเมริกา ในปี 1935 เพื่อเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย George Washington โดยการรับรองของ George Gamow
พอดีเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 Teller ได้รู้จักกับ Leo Szilard ซึ่งเป็นชาวฮังการีอพยพเหมือนกัน สัมพันธภาพนี้ทำให้ Teller ได้งานทำในโครงการสร้างระเบิดปรมาณูของอเมริกา และความเก่งกล้าสามารถของ Teller ทำให้เขามีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นๆ ตามลำดับในโครงการ Manhattan แต่ก็ไม่ถึงระดับหัวหน้า เพราะ Teller มีนิสัยหลงตัวเอง และคิดว่าตนเองเก่งเหนือคนอื่นๆ อีกทั้งชอบอิจฉาผู้ที่บังคับบัญชาตน ซึ่งในที่นี้คือ J. Robert Oppenheimer
การที่ Teller ได้ทุ่มเททำงานในโครงการ Manhattan อย่างสุดตัวนั้น เพราะเขารู้สึกรักอเมริกา ทั้งๆ ที่ตนเป็นชาวฮังการีอพยพ และรู้ดีว่าการอยู่ใต้การปกครองของระบบฟาสซิสต์ และคอมมิวนิสต์นั้น ความเป็นอยู่ของผู้คนภายใต้การปกครองสองระบบนี้เป็นอย่างไร Teller คิดว่าอเมริกาคือประเทศเดียวเท่านั้นที่จะสามารถคุ้มครองโลกให้รอดพ้นจากภัยคอมมิวนิสต์ได้ โดยการมีทั้งระเบิดปรมาณู และระเบิดไฮโดรเจน
ในปี 1945 Teller เป็นนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งที่คัดค้านการทิ้งระเบิดปรมาณูที่ Hiroshima เขาต้องการให้ทิ้งระเบิดปรมาณูเหนือกรุง Tokyo เพื่อให้คนญี่ปุ่นเห็นพลังงานในการทำลายล้างของระเบิดมหาประลัย และจะได้รู้สึกกลัว แล้วยอมแพ้สงคราม โดยไม่มีการสูญเสียชีวิตมากมาย แต่ Oppenheimer ผู้รับผิดชอบโครงการผลิตระเบิดไม่เห็นด้วย
หลังจากที่โลกประจักษ์ในอำนาจสังหารของระเบิดที่ Hiroshima และ Nagasaki แล้ว Oppenheimer รู้สึกสำนึกผิดในบาปกรรมที่ได้ทำลงไป เขาจึงคัดค้านการสร้างระเบิดไฮโดรเจนที่จะมีอำนาจทำลายยิ่งกว่าระเบิดปรมาณู ดังนั้น Oppenheimer จึงขัดขวาง Teller ไม่ให้เดินหน้าสร้างระเบิดไฮโดรเจน
ความขัดแย้งนี้ได้ทำให้ประธานาธิบดี Harry Truman มีความลำบากใจ เพราะไม่มั่นใจว่าควรอนุมัติให้อเมริกาสร้างระเบิดไฮโดรเจนหรือไม่ เพราะไม่รู้ว่าอาวุธมหาประลัยนี้จะมีประสิทธิภาพเพียงใด และมีคุณหรือโทษอย่างไร และตัวประธานาธิบดีเองรู้คณิตศาสตร์เพียงเพื่อใช้ในการซื้อของ สำหรับวิชากลศาสตร์ควอนตัมซึ่งเป็นวิชาจำเป็นในการสร้างระเบิดปรมาณูนั้น Truman ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับวิชานี้เลย ถึงกระนั้น Truman ก็ตัดสินใจเชื่อ Teller และได้อนุมัติให้ Teller เดินหน้าสร้างระเบิดไฮโดรเจนในฤดูใบไม้ร่วงปี 1949 เพราะรู้ข่าวว่ารัสเซียสามารถสร้างระเบิดปรมาณูได้แล้ว
ในช่วงเวลานั้น Teller ได้กลับไปเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย California ที่ Berkeley และได้ลงมือหาเสียงจากบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐให้สนับสนุนโครงการสร้างระเบิดไฮโดรเจน ท่ามกลางเสียงต่อต้านจาก Oppenheimer เพราะเขาคิดว่าลำพังระเบิดปรมาณูก็สามารถทำให้ผู้คนล้มตายเป็นแสนแล้ว การสร้างระเบิดไฮโดรเจนจะทำลายมนุษยชาติอย่างไม่มีใครคาดฝัน โดยส่วนตัว Teller รู้สึกกตัญญูต่อ Oppenheimer ที่ให้งานทำในโครงการ Manhattan ทั้งๆ ที่ Teller มีญาติเป็นคอมมิวนิสต์ จึงทำให้เป็นบุคคลที่ไม่น่าไว้ใจ แต่ Oppenheimer ไม่เห็นด้วยกับการสร้างระเบิดไฮโดรเจน ซึ่ง Teller เห็นว่าเป็นความคิดที่ผิดมาก ข้อขัดแย้งนี้ทำให้กระทรวงกลาโหมของสหรัฐตั้งข้อกล่าวหา Oppenheimer ว่าเป็นคนทรยศต่อชาติ และในสมัยนั้นใครก็ตามที่คัดค้านแนวคิดของรัฐบาลเขาจะถูกตั้งข้อหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ยิ่งเมื่อกองสอบสวน FBI สืบรู้มาว่า Oppenheimer เป็นคนที่เห็นอกเห็นใจคนเอียงซ้าย และยังติดต่อกับพวกคอมมิวนิสต์ ศาลจึงสั่งสอบสวน Oppenheimer ทันที และศาลได้ถาม Teller ว่าไว้ใจ Oppenheimer อดีตเจ้านายเก่าเพียงใด หรือไม่ ซึ่ง Teller ก็ได้ตอบว่า เขาอยากเห็นโครงการระเบิดไฮโดรเจนดำเนินโดยบุคคลที่เขาเข้าใจ และไว้ใจมากกว่า Oppenheimer
การแถลงเช่นนี้ทำให้ Oppenheimer ถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้อำนวยโครงการสร้างระเบิดไฮโดรเจน ถูกถอดถอนจากตำแหน่งที่ปรึกษาของ Atomic Energy Commission ของสหรัฐ ในฐานะที่เป็นบุรุษอันตรายต่อความมั่นคงของชาติ และศาลสั่งไม่ให้ Oppenheimer ได้รับรู้ข้อมูลใดๆ ในการสร้างระเบิดไฮโดรเจน อีกเลย
การต่อต้าน Oppenheimer เช่นนี้ ทำให้ Teller มีศัตรูที่เป็นนักวิชาการมากมาย ส่วน Oppenheimer ได้จบชีวิตด้วยโรคมะเร็งในปี 1967 ขณะอายุ 62 ปี
ในการสนับสนุนโครงการสร้างระเบิดไฮโดรเจนนั้น Teller ได้ตอกย้ำว่าประเทศตะวันตกไม่ควรไว้ใจคอมมิวนิสต์ และควรมีระเบิดนิวเคลียร์ที่ทรงพลังยิ่งกว่าระเบิดปรมาณูเพื่อคุ้มครอง ถ้าไว้ใจคอมมิวนิสต์ ก็ไม่ควรมีระเบิดไฮโดรเจน แต่ถ้าไม่ไว้ใจก็ควรมี แต่เรื่องจะมีหรือไม่มีนั้นก็ควรดูตัวอย่างจากกรณีปี 1939 ที่ Teller และ Leo Szilard ได้ขอร้อง Albert Einstein ให้เขียนจดหมายถึงประธานาธิบดี Franklin D. Roosevelt ให้อนุมัติโครงการ Manhattan เพื่อสร้างระเบิดปรมาณูให้ได้ก่อนเยอรมนี และระเบิดนี้ได้ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรมีชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่สองในที่สุด
หลังจากที่อเมริกาผลิตระเบิดไฮโดรเจนได้ อีก 2 ปีต่อมา รัสเซียก็ผลิตระเบิดไฮโดรเจนได้เช่นกัน และโลกก็ก้าวเข้าสู่ยุคสงครามเย็นระหว่างอเมริกากับรัสเซีย
ในช่วงเวลาที่ Ronald Reagan เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐนั้น Reagan ชื่นชม Teller มาก และ Teller ก็ศรัทธา Reagan มากเช่นกัน เพราะเขาคิดว่า Reagan คือทูตที่ฟ้าได้ส่งมาปกป้องอารยธรรมตะวันตกให้ปลอดภัยจากพวกคอมมิวนิสต์ ดังนั้น Reagan จึงเชื่อคำพูด และข้อเสนอแนะของที่ปรึกษา Teller มาก เช่น เมื่อ Teller เอ่ยถึงการใช้เลเซอร์พลังงานสูงในการทำลายจรวดนำวิธีข้ามทวีปของรัสเซียที่บรรทุกระเบิดนิวเคลียร์ Reagan ผู้มีความรู้ทางคณิตศาสตร์น้อยกว่า Truman แต่รู้เรื่องภาพยนตร์ด้านอวกาศดีกว่าก็ได้อนุมัติโครงการ Star Wars ทันที แต่ในที่สุดโครงการนี้ก็ต้องล้มไป เพราะอเมริกาต้องใช้เงินมหาศาล และเทคโนโลยีก็ยังไม่ได้รับการพัฒนาดีพอ แต่โครงการนี้ก็ได้ทำให้รัสเซียลงทุนมหาศาลเพื่อพัฒนาสงครามเลเซอร์ และการลงทุนที่มากเกิน ได้ส่วนทำให้อาณาจักรรัสเซียต้องล่มสลายในเวลาต่อมา
ดังนั้นในปี 1987 ที่ประธานาธิบดี Reagan จัดงานเลี้ยงรับรองนายกรัฐมนตรี Mikhail Gorbachev ที่ทำเนียบขาว Reagan ได้แนะนำ Gorbachev ให้รู้จัก Teller ว่านี่คือ “The famous Dr. Teller” และ Gorbachev ก็ได้ตอบว่า “There are many Tellers” แล้วปฏิเสธที่จะจับมือกับ Teller
ในส่วนของผลงานฟิสิกส์ที่สำคัญของ Teller คือ การศึกษาบทบาทของอิเล็กตรอน 1 ตัวในการเชื่อมโยง โปรตอน 2 ตัว ในโมเลกุลไฮโดรเจนที่แตกตัวเหลืออิเล็กตรอนตัวเดียว ซึ่งการศึกษานี้เป็นส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์ระดับดุษฎีบัณฑิต หลังจากนั้น Teller ได้ทำงานร่วมกับ Emil Jahn ในการอธิบายเส้นสเปกตรัมของ Benzene ในช่วงรังสีอัลตราไวโอเล็ตว่า เกิดจากการบิดเบี้ยวของโมเลกุล ซึ่งปรากฏการณ์นี้ เรียกว่า ปรากฏการณ์ Jahn-Teller นอกจากนี้ ก็ยังได้ศึกษาการสลายตัวแบบเบตาของธาตุกัมมันตรังสี โดยได้คำนึงถึงอันตรกริยาระหว่างสปิน (spin) ของ neutrino กับ สปิน (spin) ของนิวเคลียสที่สลายตัว จึงทำให้ทฤษฎีของ Fermi สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เป็นต้น
ในด้านเกียรติยศ Teller ได้รับรางวัล Albert Einstein, รางวัล Enrico Fermi และเหรียญ National Medal of Science ซึ่งเป็นเกียรติสูงสุดที่รัฐบาลสหรัฐจะมอบให้แก่ประชาชน และได้รับ Presidential Medal of Freedom จากประธานาธิบดี George W. Bush เมื่อ 2 เดือนก่อนจะเสียชีวิต ในวันที่ 9 กันยายน 2003 ด้วย โรคเส้นเลือดในสมองอุดตัน สิริอายุ 95 ปี ที่ Palo Atto ใน California
ณ วันนี้ วงการดาราศาสตร์ได้ตั้งชื่อ ดาวเคราะห์น้อย 5006 ว่า Teller และระลึกถึง Teller ว่าถึงเขาจะเป็นคนที่ดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย ชอบเล่นเปียโน เทนนิส และปิงปอง ซึ่งเป็นกีฬาราคาถูก แต่เขาคือคนที่ชี้นำประธานาธิบดีสหรัฐในการทหาร เช่น ชักจูงให้อเมริกาลงทุนล้านล้านดอลลาร์สร้างอาวุธ สร้างหลุมหลบภัยปรมาณู สนับสนุนโครงการ Strategic Defense Initiative (Star Wars) ที่ล้วนหมดสภาพไปแล้ว แต่ Teller ก็ไม่เสียใจ เพราะเขารู้ว่าความฟุ่มเฟือยเหล่านี้แหละที่ทำให้รัสเซีย ซึ่งเป็นศัตรูสำคัญของอเมริกาต้องล่มสลาย และนี่คือมรดกสำคัญชิ้นสุดท้ายที่ Teller ได้มอบให้อเมริกาก่อนจากไป
ในด้านนิสัยส่วนตัว Teller เป็นคนที่ยึดมั่นในความคิดและความเชื่อของตน อีกทั้งชอบพูดความเชื่อเหล่านั้นอย่างเปิดเผย เขามองเหตุการณ์แทบทุกอย่างในลักษณะขาวหรือดำ และเป็นคนที่เข้าใจคำว่า “อำนาจ” ดี เพราะเขารู้ว่าประธานาธิบดีต่างๆ เชื่อในสิ่งที่เขาพูด ดังนั้น เขาจึงมีศัตรูทางการเมือง และวิชาการพอประมาณ เขาจึงกล่าวว่า คนที่มีศัตรูมาก คือคนที่มีอำนาจมาก ความยึดมั่นในตนเอง และอำนาจเช่นนี้ได้ทำให้ George Keyworth ผู้เป็นที่ปรึกษาของประธานาธิบดี Reagan คิดว่า Teller เข้าใจเรื่องอำนาจดีจนสามารถเขียนเรื่อง The Prince ที่ Machiavelli เขียน ได้ดีพอๆ กัน
คุณหาอ่านเรื่องของ Teller เพิ่มเติมได้จาก “Judging Edward Teller: A Closer Look at One of the Most Influential Scientists of the Twentieth Century” โดย Istvan Hargitai จัดพิมพ์โดย Prometheus Books ในปี 2010 หนา 575 หน้า ราคา 32 ดอลลาร์
สุทัศน์ ยกส้าน เมธีวิจัยอาวุโส สกว.