การฆ่าเชื้อด้วยความความร้อน อาจเป็นวิธีที่ใช้กันแพร่หลายมากที่สุด แต่กับสิ่งของหรือสินค้าบางอย่าง อาจไม่สามารถฆ่าเชื้อด้วยวิธีนี้ได้ เพราะจะทำให้เกิดความเสีย การฉายรังสีเพื่อฆ่าเชื้อคือวิธีหนึ่งที่ช่วยได้ และไอโซตรอนคือหนึ่งในผู้ให้บริการรังสีฆ่าเชื้อเพื่อการส่งออกรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและในเอเชีย
บริษัท ไอโซตรอน (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร อ.เมือง จ.ชลบุรี โดยมีบริษัทแม่อยู่ในประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นเอกชนที่ดำเนินธุรกิจให้บริการฉายรังสีฆ่าเชื้อแก่อุตสาหรรมประเภทต่างๆ ในประเทศไทยมานานกว่า 10 ปี และ 90% ของสินค้าที่ถูกส่งเข้ามาฉายรังสีเพื่อฆ่าเชื้อที่นี้เป็นสินค้าส่งออก
นายสุวิทย์ ตุลยาเดชานนท์ ผู้จัดการ บริษัท ไอโซตรอน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันไอโซตรอนให้บริการฉายรังสีฆ่าเชื้อแก่อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ อาหาร เครื่องเทศ สมุนไพร เครื่องสำอาง อาหารสัตว์ และผลไม้เพื่อการส่งออก โดยใช้โคบอลต์ 60 เป็นแหล่งกำเนิดรังสีแกมมา ซึ่งนำเข้าสารกัมมันตรังสีจากแคนาดา ส่วนเทคโนโลยีการฉายรังสีเป็นเทคโนโลยีที่นำเข้าจากยุโรป
"อุปกรณ์ที่ใช้ในด้านการแพทย์ เช่น เสื้อคลุมแพทย์ ผ้าคลุมเตียงผ่าตัด ถุงมือผ่าตัด เข็มฉีดยา ไตเทียม ชุดถ่ายเลือด อุปกรณ์ทำแผล และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในห้องคลีนรูม จำเป็นต้องฉายรังสีเพื่อให้ปลอดเชื้อ 100% ส่วนวัตถุดิบของเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง อาหาร สมุนไพร และผลไม้ จะเน้นฉายรังสีเพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค ซึ่งไอโซตรอนเริ่มให้บริการฉายรังสีผลไม้สดเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ ได้ประมาณ 2 ปี ครอบคลุมลำไย เงาะ และมังคุด" นายสุวิทย์ กล่าว
ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้นสหรัฐฯ ไม่อนุญาตให้นำเข้าผลไม้สดจากประเทศไทย เนื่องจากมีแมลงและเชื้อจุลินทรีย์ปนเปื้อนกว่า 40 ชนิด แต่ปัจจุบันสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (สทน.) ได้พัฒนาเทคโนโลยีการฉายรังสีเพื่อยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ในผลไม้สด และสหรัฐฯ ได้อนุญาตให้มีการนำเข้าผลไม้สดจากประเทศไทยได้ตั้งแต่ปี 2551 จำนวน 6 ชนิด ได้แก่ มังคุด เงาะ มะม่วง สับปะรด ลำไย และล้นจี่
ดร.สมพร จองคำ ผู้อำนวยการ สทน. บอกว่า สทน. มีบทบาทสำคัญในการฝึกอบรมพร้อมออกใบอนุญาตแก่บุคลากรผู้ปฏิบัติงานด้านรังสีทั้งของภาครัฐและเอกชน และเป็นพี่เลี้ยงให้แก่เอกชนในการให้บริการฉายรังสี รวมทั้งไอโซตรอน ซึ่งปัจจุบันถือเป็นเอกชนเพียงไม่กี่แห่งในประเทศไทยที่ดำเนินธุรกิจฉายรังสีฆ่าเชื้อ และถือเป็นรายใหญ่ที่สุดในเอเชีย ซึ่งสินค้าที่ผ่านการฉายรังสีแล้วจะได้รับตรา "ราดูรา" (Radura) ที่ออกให้โดยสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (ไอเออีเอ) และองค์การอนามัยโลก ซึ่งสหรัฐฯ ให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้มาก ขณะที่ญี่ปุ่นยังไม่ยอมรับอาหารฉายรังสี
นายสุวิทย์ ให้ข้อมูลต่อว่า ระบบการฉายรังสีฆ่าเชื้อของบริษัทมี 2 ระบบ ได้แก่ ระบบพาเรด (parade) ซึ่งสินค้าที่จะฉายรังสีจะถูกลำเลียงไปบนสายพานเพื่อเข้าสู่ห้องฉายรังสี และระบบโทต (tote box) ซึ่งจะต้องถูกบรรจุสินค้าไว้ในกล่องเหล็กก่อนนำเข้าสู่ห้องฉายรังสี โดยระบบนี้ใช้กับเฉพาะสินค้าประเภทเครื่องมือแพทย์เท่านั้น ส่วนสินค้าประเภทอื่นจะใช้ระบบพาเรดทั้งหมด
ส่วนเวลาในการฉายรังสีนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณรังสีที่เหมาะสมกับสินค้าแต่ละชนิด เช่น เครื่องมือแพทย์ ต้องฉายรังสีฆ่าเชื้อ 100% จะใช้รังสี 25 กิโลเกรย์ โดยใช้เวลาฉายรังสีประมาณ 4 ชั่วโมง ส่วนผลไม้สด จะใช้รังสี 0.4 กิโลเกรย์ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 30 นาที ภายหลังจากฉายรังสีเสร็จแล้ว โดซิมิเตอร์ ซึ่งเป็นเครื่องวัดปริมาณรังสีคล้ายสติ๊กเกอร์ที่ติดอยู่บนบรรจุภัณฑ์จะเป็นตัวบ่งบอกว่าสินค้าในบรรจุภัณฑ์นั้นได้รับรังสีในปริมาณเท่าไร
"ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยการฉายรังสี จะไม่มีรังสีหรือสารตกค้าง เนื่องจากได้รับแค่พลังงานเท่านั้น เหมือนกับการได้รับพลังงานจากแสงแดด อีกทั้งรังสีแกมมายังเป็นพลังงานในระดับอ่อนๆ จึงมีความปลอดภัยต่อผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ และในขณะที่ไม่มีการฉายรังสี โคบอลต์ 60 ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดรังสีที่เป็นของแข็ง จะถูกเก็บอยู่ในบ่อน้ำลึก 7 เมตร ซึ่งสามารถป้องกันการรั่วไหลของรังสีสู่ภายนอกได้" นายสุวิทย์ กล่าว
ทั้งนี้ นอกจากการฉายรังสีแกมมาเพื่อฆ่าเชื้อโรคในผลิตภัณฑ์ต่างๆ แล้ว ยังสามารถฉายรังสีเพื่อเพิ่มมูลค่าอัญมณี หรือปรับปรุงคุณสมบัติพอลิเมอร์ได้ เช่น ฟิล์มพอลิเอทิลีน (PE) สายไฟ และสายเคเบิล ให้มีความเหนียวและทนทานยิ่งขึ้น แต่ต้องใช้รังสีปริมาณสูงกว่าการฉายรังสีฆ่าเชื้อ ซึ่งในบางประเทศมีการทำในระดับอุตสาหกรรมแล้ว แต่ยังไม่มีในประเทศไทย