เนื่องจากเครื่องทดสอบเบรกคุณภาพดีจากเยอรมนีมีราคาสูงเกือบล้าน จึงมีสถานตรวจสภาพรถเอกชนกว่า 600 แห่งทั่วประเทศ ที่ไม่พร้อมติดตั้งเครื่องทดสอบ ส่วนเครื่องทดสอบจากจีนแม้ราคาถูกกว่าครึ่ง แต่คุณภาพก็ด้อยตามไปด้วย เอกชนไทยจึงพัฒนาเครื่องทดสอบฝีมือคนไทยที่ราคาสูสีกับจีนแต่คุณภาพเทียบเคียงเยอรมัน และพร้อมจำหน่ายแล้ว
นายจักรเกษตร อักษรพันธุ์ ผู้จัดการส่วนโครงการ บริษัท ไทย ไดนามิค มาสเตอร์ จำกัด กล่าวกับทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ ว่าไทยมีสถานตรวจสภาพรถเอกชนทั้งประเภทรถจักรยานยนต์และรถยนต์กว่า 2,000 แห่ง แต่มีกว่า 600 แห่ง ที่ยังไม่ได้ติดตั้งเครื่องทดสอบห้ามล้อและเครื่องทดสอบศูนย์ล้อ เนื่องจากราคาเครื่องทดสอบที่มีราคาสูงถึง 500,000 -1,000,000 บาท
ทั้งนี้ สถานตรวจสภาพรถเอกชน ต้องนำเข้าเครื่องทดสอบห้ามล้อจากต่างประเทศ เนื่องจากไม่มีผู้ประกอบการไทยที่ผลิตขึ้นมาจำหน่ายได้ โดยมีทั้งที่นำเข้าจากเยอรมนีและจีน ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน แต่นำเข้าจากจีนในสัดส่วนที่สูงกว่า โดยราคาเครื่องนำเข้าจากเยอรมนีมีราคา 1,000,000 บาท แพงกว่าเครื่องที่นำเข้าจากจีน ซึ่งมีราคาประมาณ 500,000-600,000 บาท
อย่างไรก็ดี ทางบริษัทได้รับการสนับสนุนในการพัฒนาเครื่องทดสอบห้ามล้อ (Brake tester) จากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภายใต้โครงการศึกษาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการสร้างเครื่องจักรในกระบวนการผลิตด้วยวิศวกรรมย้อนรอย ตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งในปีดังกล่าวได้พัฒนาต้นแบบขึ้นมา แต่มีปัญหาหลายอย่างที่ต้องได้รับการแก้ไข จนปัจจุบันบริษัทได้ผลิตเครื่องทดสอบห้ามล้อหรือเบรกรถยนต์ที่พร้อมจำหน่ายแล้ว
ด้าน ดร.โกวิท ชูติธร ที่ปรึกษา โครงการบริษัท Know All ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัทไทย ไดนามิค มาสเตอร์ และเป็นผู้พัฒนาด้านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้กับเครื่องทดสอบห้ามล้อ กล่าวว่าได้ทำวิศวกรรรมย้อนรอยเครื่องทดสอบห้ามล้อของต่างประเทศประมาณ 20 ประเทศ อาทิ เยอรมนี สหรัฐฯ อังกฤษ จีน สวิตเซอร์แลนด์ เป็นต้น โดยได้ดูมาตรฐานเครื่องทดสอบของหลายๆ ที่ แล้วพัฒนาเครื่องต้นแบบขึ้นในปี 2549 แต่ประสบปัญหาหลายอย่างและมีต้นทุนสูง แล้วได้ปรับเปลี่ยนมอเตอร์และเกียร์จนได้จุดคุ้มทุนในราคาที่คนไทยซื้อได้ และมีคุณภาพเพียงพอ
สำหรับชุดทดสอบห้ามล้อประกอบด้วย 2 ส่วนคือ เครื่องวัดความเอียงล้อและเครื่องทดสอบห้ามล้อ ซึ่งทั้งสองเครื่องจะติดตั้งคู่กัน เมื่อขับรถเข้าเครื่องทดสอบจะผ่านเครื่องวัดความเอียงล้อก่อน ซึ่งมีกลไกเป็นแผ่นโลหะเลื่อนได้ หากล้อเอียงเครื่องจะเลื่อนปรับให้ล้อได้สมดุล จากนั้นวัดองศาของล้อที่เปลี่ยนไป
ส่วนเครื่องทดสอบห้ามล้อจะมีลูกกลิ้งที่ใช้หมุนล้อทั้งสองข้าง โดยจะหมุนให้มีความเร็ว 2 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และความเร็วในการทดสอบนี้จะไม่ถึง 5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อไม่ให้เบรก ABS เริ่มทำงาน จากนั้นคอมพิวเตอร์จะส่งสัญญาณให้เบรก และสามารถวัดประสิทธิภาพการห้ามล้อรถยนต์ได้โดยวัดแรงจากการเบรกเทียบกับน้ำหนักรถยนต์ ซึ่งวัดแรงเบรกได้เมื่อแรงมอเตอร์แพ้แรงเบรก คือความเร็วลดลงเหลือประมาณ 0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หากประสิทธิภาพต่ำกว่า 50% ถือว่าเบรกใช้ไม่ได้
พร้อมกันนี้ ดร.โกวิทยังเผยถึงปัญหาจากการใช้เครื่องทดสอบห้ามล้อที่นำเข้าจากจีนว่า ลูกกลิ้งที่ใช้หมุนล้อนั้นใช้พื้นผิวเหมือนพื้นถนน ทำให้มีปัญหาการหลุดร่อน และทางบริษัทได้แก้ปัญหาดังกล่าวโดยใช้ผิวลูกกลิ้งเป็นโลหะชุบแข็ง
“จุดเด่นของเครื่องเราคือการใช้งานเป็นภาษาไทย มีภาพประกอบการใช้งาน และใช้ชิ้นส่วนในประเทศ 80% ส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พัฒนาโดยวิศวกรชาวไทย ราคาเครื่องของเราสูสีกับเครื่องจากจีน แต่เปรียบเทียบคุณสมบัติแล้วของเราดีกว่า การใช้งานและค่าที่วัดได้ใกล้เคียงกับยุโรป โดยมีค่าความเชื่อมั่นในการทดสอบ 90%” นายจักรเกษตรกล่าวถึงข้อดีของเครื่องทดสอบห้ามล้อฝีมือคนไทย