xs
xsm
sm
md
lg

ทะเลมรณะ Dead Sea (จบ)

เผยแพร่:   โดย: สุทัศน์ ยกส้าน

ป้อมปราการที่ Masada
และในปี 2543 ระดับน้ำได้ลดต่ำลงไปถึง 415 เมตร ซึ่งนั่นก็หมายความว่าปริมาตรของน้ำได้ลดจาก 155 ลูกบาศก์กิโลเมตร เหลือเพียง 135 ลูกบาศก์กิโลเมตร และกำลังจะลดลงไปเรื่อยๆ นอกจากจะมีสาเหตุจากธรรมชาติแล้ว สาเหตุจากประชาชนชาวอิสราเอล จอร์แดน และปาเลสไตน์ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่รอบๆ Dead Sea ก็มีส่วนทำให้ทะเล Dead Sea หดขนาดตลอดเวลา โดยการใช้น้ำในแม่น้ำ Jordan ทำเกษตรกรรม และเมื่อแม่น้ำ Jordan คือแหล่งน้ำสำคัญที่ไหลเข้าสู่ Dead Sea ดังนั้น เมื่อน้ำถูกนำไปใช้มากขึ้นๆ ทุกปี นักวิชาการจึงคาดว่า อีก 200 ปี ทะเล Dead Sea จะกลายเป็น Dead Pond แต่ก่อนจะถึงวันนั้น นักท่องเที่ยวทุกคนก็จะพบว่าทุกวันเขาจะต้องเดินทางไกลขึ้น 2-3 เซนติเมตร จึงจะถึงทะเล เพราะสถิติได้แสดงให้เห็นชัดว่า ทะเล Dead Sea ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ได้สูญเสียผิวน้ำไปประมาณ 1 ใน 3 แต่การที่น้ำระเหยไปๆ นี้ก็ได้ทำให้ความเข้มข้นของเกลือมากขึ้นๆ จนถึงระดับหนึ่ง น้ำเกลือก็จะไม่ระเหยอีกต่อไป

ดังนั้น เพื่อรักษาสภาพของ Dead Sea รัฐบาลอิสราเอล จอร์แดน จึงวางแผนจะสูบน้ำจากทะเลแดง (Red Sea) ซึ่งเป็นแหล่งอาศัยของปะการัง ผ่านทะเลทรายทางตอนใต้ของ Jordan สู่ Red Sea โดยคาดจะนำน้ำ 1.9 พันล้านลูกบาศก์เมตร/ปี ยกขึ้นถึงระดับสูง 120 เมตร แล้วให้แรงโน้มถ่วงทำงานดันน้ำให้ไหลไกล 180 กิโลเมตร สู่ Dead Sea แต่กลุ่มพิทักษ์สิ่งแวดล้อมไม่เห็นด้วย โดยอ้างว่าจะทำให้เกิดผลกระทบร้ายแรง เพราะน้ำทะเลของ Red Sea มีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำใน Dead Sea ดังนั้น เวลาปนกันมันจะลอยแยกกัน จากนั้นก็ทำปฏิกิริยาเคมีกัน เมื่อน้ำ Dead Sea ที่มีแคลเซียมมากเข้ารวมกับน้ำ Red Sea ที่มีซัลเฟตมาก จะเกิดเป็น calcium sulphate หรือ gypsum ซึ่งจะตกตะกอนเป็นสีขาว แล้วจากนั้น น้ำทะเลก็จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวเพราะจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ใน Dead Sea จะเติบโตจนมีสีเขียวน้ำตาล ซึ่งจะทำให้ทะเลมีสีแปลกไป

แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลสำคัญนักเพราะเหตุผลที่สำคัญกว่า คือถ้าน้ำทะเลใน Dead Sea มีความหนาแน่นน้อยลงๆ เพราะถูกปนด้วยน้ำจาก Dead Sea การลอยตัวอ่านหนังสือใน Dead Sea ก็จะทำไม่ได้อีกต่อไป และนั่นก็หมายความถึงหายนะสำหรับธุรกิจการท่องเที่ยวของทั้งอิสราเอล และจอร์แดน แต่ในขณะเดียวกัน นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมก็ได้แสดงให้เห็นว่า เท่านั้นยังไม่พอการสูบน้ำจาก Red Sea ในอัตรา 60 ลูกบาศก์เมตร/วินาที จะทำลายปะการัง และปลานับ 800 ชนิดที่อาศัยอยู่ใน Red Sea จนเมืองท่า Eilat และ Aqaba ถูกกระทบกระเทือนเพราะจะไม่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนอีกต่อไป นอกจากนี้การสร้างท่อทะเลทรายก็เสี่ยงต่อภัยแผ่นดินไหว และภัยสงครามด้วย ดังนั้น ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้ จึงเห็นว่า วิธีจัดการเรื่องการใช้น้ำในแม่น้ำ Jordan อย่างมีประสิทธิภาพ น่าจะเป็นวิธีที่คุ้มกว่า

อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมานี้ โครงการ Red-Dead Conduit ที่มีท่อโยงระหว่างทะเลแดงกับทะเลมรณะก็เริ่มพิจารณาดำเนินการ โดยหวังจะนำน้ำทะเลจาก Red Sea มาแปลงให้เป็นน้ำจืด ก่อนจะนำไปใส่ลงใน Dead Sea ซึ่งถ้าทำได้เช่นนี้ สภาพของ Dead Sea จะไม่ถูกกระทบกระเทือนมาก และการเปลี่ยนน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืดจะทำให้ประชาชนยิวมีน้ำใช้วันละ 200-300 ลิตร อย่างเพียงพอ ในขณะที่ชาวปาเลสไตน์ ซึ่งใช้น้ำเพียงวันละ 50-60 ลิตร ก็มีน้ำใช้อย่างพอเหมาะกับอัตภาพด้วย

อนึ่ง การแปลงน้ำทะเลเป็นน้ำจืดก็จะช่วยให้น้ำในแม่น้ำ Jordan ถูกสุขลักษณะยิ่งขึ้นด้วย ทั้งนี้เพราะปัจจุบันน้ำในแม่น้ำ Jordan มีมลพิษมาก จนกลายเป็นแม่น้ำโสโครกที่ถ้าใครถูกนำไปจุ่มในแม่น้ำสายนี้แทนที่จะชำระบาปจนตัวสะอาด เขาก็อาจจะเป็นโรคผิวหนังหลังจากพิธี babtize แล้วก็ได้ แต่ประโยชน์ที่สำคัญมากอีกประการหนึ่งก็คือ การผ่อนถ่ายน้ำจาก Red Sea โดยการสูบน้ำขึ้นที่สูงก่อนแล้วทำให้น้ำไหลลงที่ต่ำนี้ ความแตกต่างระหว่างระดับความสูงของน้ำต้นทางกับปลายทาง สามารถช่วยให้น้ำขับเคลื่อนเทอร์โบที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าได้ด้วย

ดังนั้น โครงการมูลค่า 35,000 ล้านบาทนี้ ถ้าทำได้จริงก็จะเปลี่ยนโฉมหน้าของความตึงเครียดทางการเมือง เนื่องจากการขาดแคลนน้ำใช้ของคนในภูมิภาค และเปลี่ยนโฉมหน้าทางภูมิศาสตร์ของแม่น้ำ Jordan ทำให้นักท่องเที่ยวนับล้านมาจุ่มตัวล้างบาปในแม่น้ำ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงด้านความสะดวกสบายในการดำรงชีพของชาว bedouin และสุดท้ายคือเปลี่ยน Dead Sea ไม่ให้ตายคือให้มีสภาพเหมือนในสมัยที่พระเยซูยังมีชีวิตอยู่ เพราะถ้าปล่อยให้ Dead Sea แห้งขอดลงๆ วันหนึ่งคนธรรมดาก็จะสามารถเดินบนน้ำใน Dead Sea ได้เหมือนพระเยซู

สุทัศน์ ยกส้าน เมธีวิจัยอาวุโส สกว.
ถ้ำที่ซุกซ่อนจารึกโบราณแห่ง Dead Sea
เส้นทางที่จะสร้างเพื่อนำน้ำจาก Red Sea ไป Dead Sea
กำลังโหลดความคิดเห็น