xs
xsm
sm
md
lg

Jack the Ripper: ฆาตกรสยองขวัญผู้เป็นตำนาน (จบ)

เผยแพร่:   โดย: สุทัศน์ ยกส้าน

เหยื่อคนที่สอง Annie Chapman
เมื่อเร็วๆ นี้ในหนังสือ Jack the Ripper : The Forensic Profile ที่ตีพิมพ์ในปี 2547 ซึ่ง Trevor Mariott เป็นผู้เขียน เขาเชื่อว่า ฆาตกรตัวจริงอาจมีมากกว่า 1 คน เพราะศพที่ 3 กับที่ 4 อยู่ห่างกันภายในระยะทาง 10 นาทีเดินและพบในคืนเดียวกัน ซึ่งแต่ละศพต้องใช้เวลานานในการชำแหละ

Trevor Mariott คิดว่า กะลาสีเรือชาว Nicaragua หรือเยอรมันที่มาลอนดอนในขณะนั้น หลังจากที่ได้สัมพันธ์กับโสเภณีแล้วติดโรค จึงต้องการแก้แค้นโดยการฆ่า เพราะ Mariott ได้พบว่า ในช่วง 10 วันของเดือนมกราคม ปี 2432 หลังจากที่เหตุการณ์ฆ่าในลอนดอนจบ การฆาตกรรมต่อเนื่องก็ได้เกิดใน Nicaragua โดยโสเภณี 6 คน ถูกฆ่าในลักษณะเดียวกัน และที่ลอนดอนในเดือนกุมภาพันธ์ก็มีโสเภณี 1 คนถูกฆ่า ตามมาอีก 1 คนที่ท่าเรือเมือง Flanburg ในเยอรมนีในเดือนตุลาคม แล้วอีก 1 คนที่ลอนดอนในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2434

ในปี 2548 Tony Williams ผู้เป็นทายาทของ Sir John Williams ได้เรียบเรียงหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ “Uncle Jack” และบรรยายว่า John William มีอาชีพเป็นแพทย์ที่เคยทำงานในโรงพยาบาลใน London หลายแห่ง รวมทั้งที่ White Chapel Workhouse Infirmary และข้อมูลคนไข้ของสถานพยาบาลนี้ก็ระบุว่า เหยื่อทั้ง 5 คน เคยไปรับการรักษาที่นี่

นอกจากนี้ Tony Williams ก็ได้พบจดหมายฉบับหนึ่งลงวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2431 ซึ่งมีข้อความว่า John Williams บอกเลิกนัดกับเพื่อน เพราะต้องไปรักษาคนไข้ที่คลินิก White Chapel และในคืนนั้นเอง Anne Chapman ก็ตาย จากนั้น John Williams ก็ได้เลิกอาชีพแพทย์ และเดินทางไป Wales ส่วนมีดผ่าตัดของเขาซึ่งขณะนี้ถูกเก็บอยู่ที่ National Library of Wales ก็พบว่า สามารถใช้หั่นศพได้ดี Tony Williams จึงคิดว่า ถ้าใช้เทคนิค DNA วิเคราะห์คราบเลือดที่อาจติดอยู่บ้างบนคมมีด ตำรวจก็อาจได้ข้อมูลของเหยื่อได้

สำหรับ James Tully นั้น หลังจากที่ได้ศึกษาประวัตินักโทษโรคจิตที่ Broadmoor นาน 9 ปี เขาคิดว่า James Kelly ผู้เป็นนักโทษคนหนึ่ง มีประวัติที่น่าสงสัยว่าเป็น Jack the Ripper เพราะเป็นคนกำพร้าพ่อ เฉลียวฉลาด สำส่อน และต้องโทษเพราะฆ่าภรรยาหลังจากที่พบว่าตนเป็นซิฟิลิส เพราะได้รับเชื้อจากภรรยา และได้หนีออกจากโรงพยาบาลโรคจิตที่ Broadmoor ไปเที่ยวโสเภณีที่ White Chapel และหลังจากที่เหยื่อคนสุดท้ายตายแล้ว Kelly ได้เดินทางไปยุโรป และเมื่อได้ดูจดหมายและลายมือที่เขียนแล้ว Tully คิดว่า ลายมือเหมือนคนที่เขียนโปสการ์ดถึงหนังสือพิมพ์ และลงท้ายว่า Jack the Ripper

ข้อมูลทางจิตวิทยายังเสริมอีกว่า Kelly ถูกแม่ทิ้ง เป็นคนโดดเดี่ยวที่รู้สึกว่าตนไม่มีคุณค่าเลย ชอบเซ็กซ์ มีชีวิตสมรสที่ล้มเหลว และบ้าเมื่ออายุ 40 ปี จึงได้แหกคุกคุมขังและถูกจับได้ จึงถูกนำกลับมาเข้าคุกอีก Kelly เคยบอกอยากสารภาพทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ไม่มีใครรู้ว่าสารภาพอะไร จนกระทั่งเขาตายไป เพราะเขาได้นำคำสารภาพของเขาไปด้วย

เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ที่ผ่านมานี้ ได้มีงานแสดงเรื่อง Jack the Ripper and the East End ที่ Museum in Docklands ในลอนดอนเป็นครั้งแรก งานนี้จะมีถึงวันที่ 2 พฤศจิกายน แก่นหลักของงานแสดงมิได้ระบุว่าใครเป็น Ripper เพียงแต่แสดงให้เห็นว่า ในสมัยนั้นการค้นหาฆาตกรเป็นเรื่องยากและลำบากมาก ในงานมีศพจำลองของเหยื่อที่ดูน่ากลัวกว่าในหนัง Hollywood และสถานที่จัดก็ใกล้กับบริเวณที่ผู้หญิง 11 คน ถูกมีดแทงตายในระหว่างปี 2431 - 2434 ในงานแสดงนี้มีจดหมายจากฆาตกร และรายงานตำรวจที่ได้จากการสืบสวนในสถานที่เกิดเหตุ ผู้เข้าชมจะได้เห็นภาพถ่ายของย่าน East End ในสมัยนั้น เห็นคนยากจน คนขอทาน คนไม่มีที่อยู่อาศัย ฯลฯ จนกระทั่งมีเหตุร้ายเกิดขึ้น และผู้คนหวาดกลัวมาก East End จึงได้รับการพัฒนาทันที เหตุการณ์นี้ทำให้ George Bernard Shaw ถึงกับกล่าวว่า Ripper ได้ทำให้ London ได้รับการพัฒนามากยิ่งกว่านักสังคมสงเคราะห์ใดๆ

ส่วนจดหมายที่เขียนด้วยหมึกแดงว่า “I am down on whores and shall quit ripping till I do get buckled.” Yours truly Jack the Ripper นั้น ได้ถูกส่งไปให้นักหนังสือพิมพ์คนหนึ่ง แต่ตำรวจปัจจุบันสงสัยว่า นักหนังสือพิมพ์คนนั้นเขียนเอง เพื่อให้คนแห่กันมาซื้อหนังสือพิมพ์ของตน นอกจากนี้ ก็มีมีดที่ Ripper ใช้ฆ่าเหยื่อและมีภาพคนที่ถูกสงสัยด้วย นี่จึงเป็นการนำฆาตกรรมมาเป็นประวัติศาสตร์ ให้ประชาชนคนทั่วไปเห็นหลักฐาน และให้หลักฐานเหล่านี้พูดเอง อธิบายเอง เพราะกระทั่งถึงวันนี้หรือวันไหน ก็ยังไม่มีใครรู้ว่า Jack the Ripper ตัวจริงคือใคร

สุทัศน์ ยกส้าน เมธีวิจัยอาวุโส สกว.
เหยื่อคนสุดท้าย Mary Kelly
กำลังโหลดความคิดเห็น