เวลาผ่านไปกว่า 1 ปี 2 เดือน ท้ายที่สุด... นพ.กวีวัธน์ เฮงสวัสดิ์ หรือหมอไพศาล เจ้าของสถานเสริมความงามไบโอคลินิก ย่านดอนเมือง ก็ต้องไปชดใช้กรรมที่ได้ก่อไว้ เมื่อเขาถูกตำรวจกองกำกับการสืบสวนนครบาล 4 (กก.สส.บก.น.4) นำโดย พ.ต.ท.เอกศิษฎ์ สุมานัส สว.กก.สส.บก.น.4 นำกำลังพร้อมหมายจับจากศาลอาญา เลขที่ 3101/51 ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน เข้าจับกุมได้ภายในสถานเสริมความงามไบโอคลินิค สาขาพัทยากลาง ริมถนนสุขุมวิท ต.หนองปลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
โดยการถูกจับกุมครั้งนี้ หมอไพศาล ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาล รวม 3 ข้อหา ประกอบด้วย ใช้จ้างวานให้ผู้อื่นกระทำความผิดในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนพกติดตัวโดยไม่มีเหตุอันสมควร
หลายคนอาจจะยังนึกถึงภาพแห่งความโหดร้ายไม่ได้ว่า ผู้ต้องหารายนี้ได้ก่อกรรมอะไรไว้ พฤติกรรมแห่งการกระทำความผิด โหดร้ายมากน้อยแค่ไหน และทำไมวันนี้เขาจึงถูกจับกุม
ช่วงหัวค่ำวันที่ 13 กันยายน 2550 เกิดเหตุฆาตกรรมขึ้นที่หน้าบ้านเลขที่ 295 หมู่บ้านฉัตรแก้ว ซอย 11 ย่านถนนแฮปปี้แลนด์ โดยผู้เสียชีวิตจากเหตุการณครั้งนี้มีนามว่า “รวีวรรณ เสตะรัต” สาวใหญ่เจ้าของร้านขายวัสดุก่อสร้างใน จ.ราชบุรี วัย 53 ปี
เมื่อได้ยินชื่อนี้ ผู้สื่อข่าวที่ไปทำข่าวในคืนนั้นก็เกิดความรู้สึกคุ้นชื่อนี้มาก เหมือนเคยได้ยินชื่อเธอมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งก็จริงอย่างที่คิด เพราะเธอคือหญิงสาวที่ตกเป็นเหยื่อของความ “อยากสวย” ผู้เคยตกเป็นข่าวดังเกรียวกราวมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
ย้อนกลับไป...ถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวทั้งหมดเสียก่อนว่า เธอกลายเป็นเหยื่อของความอยากสวยนี้และกลายเป็นคนดังขึ้นมาได้อย่างไร กล่าวคือ เมื่อ พ.ศ.2546 หรือ 4 ปีก่อน เธอเข้ารับการผ่าตัดทำตาสองชั้น โดยการฉีดซิลิโคนรอบดวงตาที่ "ไบโอคลินิก" ย่านดอนเมือง ของ นพ.ไพศาล หรือ กวีวัธน์ เฮงสวัสดิ์ แต่การทำศัลยกรรมในครั้งนั้น กลับส่งผลกระทบกับตัวเธอย่างรุนแรง ถึงขั้น “เสียโฉม” ไม่สามารถแก้ไขให้กลับมาเหมือนเดิมได้ แถมด้วยดวงตาปิดไม่สนิท กล้ามเนื้อรอบดวงตาแข็ง แต่ทางคลินิกกลับไม่รับผิดชอบแต่อย่างใด
สองปีให้หลัง เธอเริ่มต่อสู้เพื่อขอความเป็นธรรม โดยเริ่มร้องเรียนผ่านสื่อมวลชน และหน่วยงานรัฐอื่นๆอีกมากมาย แต่เธอกลับไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร กระทั่งวันที่ 19 ส.ค.48 สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้จัดงานเสวนา เรื่อง “จากดอกรัก...สู่ระบบการเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายจากบริการทางการแพทย์” ในกิจกรรมราชดำเนินเสวนา ครั้งที่ 21 ประจำปี 2548 เธอก็ดังระเบิดไปทั่วประเทศ
เพราะวันนั้น นางรวีวรรณลุกขึ้นมาแฉว่า “ไบโอคลินิก” ที่ทำให้เธอเสียโฉมนั้น เคยฉีดเจ้าโลกเพิ่มขนาดให้รัฐมนตรีรายหนึ่งในรัฐบาลชุดที่แล้ว นอกจากนั้นเธอยังเรียกร้องให้รัฐมนตรีรายนั้นออกมาเปิดเผยตัว และเป็นพยานให้กับเธอในการต่อสู้คดี เนื่องจากเธอถูกคลินิกแห่งนี้ฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท ฐานที่ให้ข่าวว่าทำศัลยกรรมเสริมความงามที่คลินิกแห่งนี้แล้วเสียโฉม ทำให้พิการ เนื่องจากซิลิโคนที่นายแพทย์ท่านนี้ฉีดที่อวัยวะเพศชายเป็นชนิดเดียวกับที่ฉีดรอบดวงตาของเธอ ทำเอาท่านรัฐมนตรีหลายต่อหลายคนในยุคนั้น ออกมาปฏิเสธกันพลันวันว่า “ผมเปล่า”
การออกมาต่อสู้เรียกร้องของเธอนั้น ทำให้เธอกับหมอไพศาลมีคดีฟ้องร้องกันถึง 7 คดี ประกอบด้วย หมอไพศาล ฟ้องร้อง นางรวีวรรณ ทางแพ่ง 3 คดี เรียกค่าเสียหาย 129 ล้านบาท และทางอาญา 2 คดี ส่วนตัวเธอ เป็นโจทก์ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ฟ้องร้องหมอไพศาล อีก 2 คดี โดยศาลได้ยกฟ้องไปแล้ว 1 คดี ส่วนอีก 1 คดีที่เหลือ ศาลนัดอ่านคำพิพากษาในที่ 18 ก.ย. แต่เธอกลับถูกยิงเสียชีวิตเสียก่อน
และชีวิตเธอก็เริ่มอยู่ไม่เป็นสุข เริ่มจากช่วงเดือน สิงหาคม 2548 เธอเริ่มถูกข่มขู่เป็นครั้งแรก โดยคนร้ายพยายามจะลอบวางเพลิงเผาบ้านใน จ.ราชบุรี ด้วยการราดน้ำมัน แล้วจุดกระดาษหนังสือพิมพ์โยนเข้าในหน้าบ้านพัก ต่อจากนั้นเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2549 ขณะที่เธอกำลังขับรถอยู่บนถนนลาดพร้าว เธอถูกคนร้ายลอบยิง แต่โชคดีที่มือปืนทำงานพลาด กระสุนไปถูกบริเวณขอบยางกระจกด้านคนขับ จนกระจกรถแตกเป็นเมล็ดข้าวโพด ทำให้เธอรอดตายมาได้ เธอรู้ว่ามีภัยมาถึงตัวแล้วก็พยายามระวังตัวตลอด ถึงขั้นที่ต้องไปเปลี่ยนชื่อเป็น “อภัสนันท์ ธิติโชติชัยปรีชา” แต่จนแล้วจนรอด เธอก็มาถูกดักยิงเสียชีวิตในที่สุด...
หลังเธอถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหด เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งประเด็นการสังหารไว้ 2 เรื่อง คือ กรณีที่เธอมีคดีฟ้องร้องกับไบโอคลินิก และเรื่องธุรกิจส่วนตัวของเธอที่เปิดร้านค้าวัสดุก่อสร้างใน จ.ราชบุรี สุดท้ายตำรวจมุ่งไปที่ประเด็นการฟ้องร้องกับหมอไพศาล หลังทางกองปราบปราม สืบพบว่ามีอีกคดีหนึ่งที่มีความเกี่ยวพันกันกับคดีของนางรวีวรรณ
คือคดี “นายวรรธนะ หรือบุญลือ รุ่งเรือง” อายุ 42 ปี อดีตคนขับรถของหมอไพศาล แต่กลับมาเป็นพยานปากสำคัญของนางรวีวรรณ ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 มี.ค.49 ที่บริเวณแฟลต 15 บ้านพักรถไฟ กม.11 แขวงและเขตจตุจักร กทม.ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของ สน.บางซื่อ โดยนายวรรธนะถูกยิงก่อนจะขึ้นศาลเป็นพยานให้นางรวีวรรณ เพียง 15 วัน และคดีนี้ยังจับคนร้ายไม่ได้ นอกจากนี้ ตำรวจยังเชื่อว่าทั้งสองคดีน่าจะเป็นฝีมือของมือปืนกลุ่มเดียวกัน เพราะลักษณะการก่อเหตุของมือปืนทั้งสองคดีนั้นคล้ายคลึงกันมาก มีการไปถามหาผู้ตายทั้งสองคน พร้อมอ้างว่าจะมาตามทวงหนี้ ก่อนที่ทั้งสองคนจะถูกยิงตาย
18 กันยายน 2550 ...ตำรวจหลายฝ่ายมีการประชุมร่วมกันเป็นครั้งแรก เพื่อแบ่งงานกันทำอย่างชัดเจน โดยมอบหมายให้ สน.ลาดพร้าว ควบคุมเรื่องการสอบสวนทั้งหมด ฝ่าย กก.สส.บก.น.2 รับผิดชอบคดีที่ นายวรรธนะ ถูกยิงเสียชีวิต และ กก.สส.บก.น.4 ดูแลคดีของ นางรวีวรรณ ส่วนศูนย์สืบสวน บช.น.รับผิดชอบดูแลเรื่องเทคนิคต่างๆ เช่น การตรวจสอบภาพวงจรปิด และกองปราบปรามดูแลภาพรวมทั้งหมด
โดยวันนั้นตำรวจยังพบว่า ยังมีอีกคดีที่น่าจะเชื่อมโยงกับคดีของนายวรรธนะ และนางรวีวรรณ ก็คือคดีที่ “นายชาญวิทย์ ชาญรัตนชัย” อายุ 38 ปี เซลส์แมนขายสูทสุภาพบุรุษ ที่ถูกแทงเสียชีวิต และนำศพไปทิ้งไว้ในพื้นที่ สภ.ต.ย่อยหินกอง อ.หนองแค จ.สระบุรี และก่อนตาย นายชาญวิทย์ เพิ่งเดินทางขึ้นมาจากจังหวัดภูเก็ตเพื่อมาตามเรื่องร้องเรียนที่ตัวเองเคยไปทำศัลยกรรมขอบตาที่ “ไบโอคลินิก” แต่ปรากฏว่าเกิดปัญหาขอบตาเน่า ซึ่งตำรวจเชื่อว่าเจ้าตัวถูกรุมทำร้ายจากที่อื่นแล้วนำศพมาทิ้งเพื่ออำพรางคดี
จากนั้นมา...ตำรวจทุกฝ่ายทำงานอย่างหนักเพื่อติดตามจับกุมคนร้ายรายนี้ให้ได้ ไม่ว่าจะลงพื้นที่ทั้งใน จ.ราชบุรี และพื้นที่ที่เกิดเหตุยิงนายวรรธนะ และนางรวีวรรณ เพื่อเก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุด จนพบว่าช่วงก่อนเกิดเหตุทั้งสองคดีนั้นมีนาย ป. พร้อมนาย ศ. และชายลึกลับอีกคนหนึ่งมาเดินวนเวียนสังเกตการณ์อยู่ในบริเวณดังกล่าว ก่อนที่นายบุญลือ และนางระวีวรรณ จะถูกสังหาร ซึ่งพยานส่วนใหญ่ต่างให้การไปในทิศทางเดียวกัน ตำรวจจึงเชื่อว่าทั้งนาย ป. และ นาย ศ. ที่อยู่ในฐานะเป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้บงการกับกลุ่มมือปืนนั้นอาจตกอยู่ในอันตราย หรือไม่ก็หลบหนีไปแล้ว
19 กันยายน...พ.ต.อ.วรายุทธ สุขวัฒน์ ผกก.1 บก.ป.ได้ทำหนังสือถึง นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา เพื่อขอข้อมูลเรื่องร้องเรียนไบโอคลินิก หรือเรื่องร้องเรียน นพ.กวีวัธน์ หรือไพศาล เฮงสวัสดิ์ โดยหนังสือดังกล่าวระบุว่า เนื่องจากคดีนี้คนร้ายได้ลงมือกระทำผิดอย่างไม่เกรงกลัวกฏหมาย และยังเป็นที่สนใจของประชาชนทั่วไป ซึ่งตามข่าวปรากฏว่า นพ.กวีวัธน์ มีเรื่องถูกคนไข้ร้องเรียนหลายราย รวมถึงคดีของนางรวีวรรณ ผู้ตายด้วย ดังนั้นเพื่อให้การคลี่คลายคดีเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง จึงขอเอกสารเรื่องร้องเรียนทั้งหมดของคนไข้ ที่มีกับไบโอคลีนิก มาให้พนักงานสอบสวนกองปราบปราม
ซึ่งก็พบว่า นอกจากนางรวีวรรณที่มีเรื่องร้องเรียนคลินิกแห่งนี้แล้ว ยังมีผู้เสียหายอีก 5 ราย ที่เคยทำเรื่องร้องเรียน หมอไพศาล อีกด้วย โดยส่วนใหญ่เป็นการร้องเรียนเรื่องการทำศัลยกรรมแล้วไม่เป็นที่พอใจจึงทำเรื่องร้องเรียนไปยังแพทยสภา
จนกระทั่งวันที่ 24 กันยายน การจับกุมมือปืนได้บังเกิดขึ้น โดยชุดสืบสวนกองปราบปราม บุกรวบนายจตุรงค์ หรือ ตึ๋ง เบ็ญกูล อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 139/3 หมู่ 7 ต.บ่อกวางทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี ผู้ต้องหาตามหมายจับคดีครอบครองอาวุธปืนโดยผิดกฎหมาย ก่อนนำตัวมาสอบเครียดทั้งคืน และ นายจตุรงค์ ให้การรับสารภาพว่า เป็นผู้ลงมือสังหารทั้งนายวรรธนะ และนางรวีวรรณ ด้วยตัวเอง พร้อมทั้งให้การซัดทอดว่า นายประกอบ หรือกอบ สีนาด อายุ 29 ปี และนายศักดา เฮงสวัสดิ์ อายุ 32 ปี น้องชาย หมอไพศาล เป็นผู้ร่วมขบวนการและผู้จ้างวานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบจึงขออนุมัติหมายจับนายประกอบ และนายศักดา ทันที
วันรุ่งขึ้น 25 กันยายน ตำรวจกองปราบปราม นำโดย พ.ต.อ.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ รักษาการ ผบก.ป.นำทีมบุกเข้าค้นไบโอคลินิก ของหมอไพศาล เพื่อสางคดีฆ่านางรวีวรรณ และเรื่องยาปลอม รวมทั้งอีก 14 จุด ใน 6 จังหวัด คือ พระนครศรีอยุธยา ชัยนาท อุดรธานี ชลบุรี และปทุมธานี เพื่อหาหลักฐานในคดีเพิ่มเติม และติดตามจับกุมนายศักดา และนายประกอบ แต่ปรากฎว่าไม่พบตัวผู้ต้องหาทั้งสองคน
ส่วนนายจตุรงค์ ก็ถูกส่งตัวไปยัง สน.ลาดพร้าว เพื่อเข้าสู่กระบวนการสอบสวนโดยพนักงานสอบสวนสน.บางซื่อ เจ้าของคดียิงนายวรรธนะ และพนักงานสอบสวน สน.ลาดพร้าว เจ้าของคดียิงนางรวีรวรรณ โดยนายจตุรงค์ สารภาพว่า ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2545 เคยถูกจับข้อหาพยายามฆ่าที่ จ.ชลบุรี ซึ่งศาลพิพากษาจำคุก 4 ปี โดยถูกจำคุกที่เรือนจำลาดยาว ระหว่างนั้นได้รู้จักกับนายประกอบ เมื่อพ้นโทษออกมาเมื่อเดือน ม.ค.2549 ก็ได้ไปบวช ก่อนจะสึกออกมาและเริ่มรับงานเมื่อเดือน ก.พ.2550 โดยนายประกอบ เป็นผู้ติดต่อมา ซึ่งงานแรก คือ ยิงนายวรรธนะ โดยครั้งนั้นไปด้วยกัน 3 คน คือ นายศักดา เป็นคนชี้เป้า ได้ค่าจ้าง 3 หมื่นบาท
ส่วนคดีที่ยิง นายรวีวรรณ นายจตุรงค์ ก็ได้รับการว่าจ้างจากนายศักดา อีกเช่นกัน โดยเริ่มจากทั้ง 3 คน ไปรวมตัวกันที่บ้านของนายศักดา ใน ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี จากนั้นก็เดินทางมาที่บ้านของนางรวีวรรณ ในหมู่บ้านฉัตรแก้ว ซอย 11โดยนายศักดา เป็นคนนั่งชี้เป้าอยู่ในรถ ส่วนนายจตุรงค์กับนายประกอบก็ไปนั่งซดเบียร์รอที่สวนหย่อมท้ายซอย
เมื่อนางรวีวรรณ กลับมาถึงบ้าน นายศักดาก็ส่งสัญญาณให้นายจตุรงค์วิ่งออกมาจากสวนหย่อมยิงใส่นางรวีวรรณ 2 นัดหน้าบ้าน แล้วตามเข้าไปซ้ำอีก 3 นัดในบ้าน ก่อนจะวิ่งย้อนกลับกลับมาผ่านสวนหย่อมไปขึ้นรถจักรยานยนต์ที่นายประกอบติดเครื่องรออยู่ออกไปทางซอย 10 แล้วนำรถจักยานยนต์ไปจอดทิ้งไว้ที่อาคารชุดลุมพินีเซ็นเตอร์ ทิ้งกระบอกเก็บเสียงกับเสื้อยืดที่ใส่ก่อเหตุในถังขยะ ก่อนจะวิ่งไปเรียกแท็กซี่ไปลงที่ถนนงามวงศ์วานฝั่งตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อรอให้นายศักดาขับรถมารับ โดยนายจตุรงค์ได้ค่าจ้างในการก่อเหตุครั้งนี้เกือบ 1 แสนบาท ส่วนอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุทั้งหมดนายศักดาเป็นคนจัดหามาให้
หลังจากนั้นวันที่ 27 กันยายน ตำรวจก็คุมตัวนายจตุรงค์ไปทำแผนกระกอบคำรับสารภาพอย่างละเอียดยิบ ทั้งคดีที่ยิงนายวรรธนะ และนางรวีวรรณ แม้จะก่อนหน้านั้นจะส่อเค้าว่าจะมีเรื่องวุ่น เพราะนายจตุรงค์เกิดพูดกับผู้สื่อข่าวดื้อๆ ว่า ไม่ได้เป็นคนยิงนางรวีวรรณ แต่สาเหตุก็มาจากเจ้าตัวยังไม่อยากไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ เพราะยังทำใจไม่ได้
1 ตุลาคม นพ.กวีวัธน์ หรือไพศาล เฮงสวัสดิ์ เจ้าของสถาบันเสริมความงามไบโอคลินิก เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร ผู้บังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี หรือ ปศท.(ในขณะนั้น) ตามหมายเรียกที่ถูกสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ร้องทุกข์กล่าวโทษไว้ 2 ข้อหา คือ ผลิตยาโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีและปรับไม่เกิน 10,000 บาท และข้อหาผลิตยาที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ กรณีใช้สารไบโอศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า เช่นเดียวกับที่ทำกับนางรวีวรรณ ที่ถูกฆ่าตายอย่างเหี้ยมโหด
โดยในวันนั้น หมอไพศาลได้ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าข้อเท็จจริงเรื่องซิลิโคน ไม่ว่าจะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ก็ไม่ใช่ยาและตนก็มีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมอย่างถูกต้อง ส่วนกรณีที่ นายศักดา เฮงสวัสดิ์ น้องชายถูกระบุว่าเกี่ยวข้องคดีฆ่านางรวีวรรณ เรื่องนี้ไม่ทราบข้อเท็จจริง ขอให้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องพิสูจน์
3 ตุลาคม ตำรวจกองปราบปราม (บก.ป.) สามารถจับกุมตัว นายประกอบ ศรีนาค อายุ 29 ปี อยุ่บ้านเลขที่ 154/2 หมู่ 7 ต.พลวงสองนาง อ.สว่างอารมณ์ จ.อุทัยธานี ผู้ต้องหาร่วมสังหาร นางรวีวรรณ ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2908/2550 ลงวันที่ 24 ก.ย.2550 โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ป.ที่เฝ้าสืบสวนจับกุมอยู่ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองหนองคาย ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจประเทศลาว ว่าพบนายประกอบพักอาศัยอยู่ในเมืองเวียงจันทน์ ประเทศลาว โดยนายประกอบได้ไปอาศัยพักอยู่กับ นายสิทธิพงษ์ คำรักษ์ หรืออาร์ต ซึ่งเป็นเพื่อนของนายประกอบ เจ้าหน้าที่ตำรวจประเทศลาว จึงควบคุมตัวนายประกอบ มาส่งตัวให้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองหนองคาย ก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ป.จะควบคุมตัวนายประกอบ มาสอบสวนที่ บก.ป.ร่วมกับพนักงานสอบสวน สน.ลาดพร้าว
หลังจับกุม นายประกอบ ได้รับสารภาพว่า เป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ให้นายจตุรงค์ หรือตึ๋ง ใช้อาวุธปืนยิงนางรวีวรรณ นอกจากนี้ ยังได้ร่วมก่อเหตุสังหาร นายชาญวิทย์ เหยื่อศัลยกรรม และนายบุญลือ อดีตคนขับรถของ นพ.ไพศาล โดยได้หลบหนีไปอยู่ประเทศลาว หลังได้รับเงินค่าจ้างจากนายศักดา จำนวน 25,000 บาท ส่วน นายบุญลือ ได้เงินค่าจ้างจำนวน 30,000 บาท สำหรับอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุก็ได้แยกชิ้นส่วน โดยส่วนหนึ่งได้นำไปทิ้งไว้ที่คลอง 3 ใน จ.ปทุมธานี ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังติดตามค้นหาชิ้นส่วนของอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุอีกบางส่วนที่คนร้ายได้นำไปทิ้งไว้
ส่วนเหตุสังหารโหด นายประกอบ ให้การยอมรับว่า เป็นคนฆ่านายชาญวิทย์ ที่มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการผ่าตัดทำศัลยกรรมที่ไบโอคลินิก และถูกนำศพไปทิ้งในพื้นที่ สภ.อ.หนองแค จ.สระบุรี โดยนายศักดา เฮงสวัสดิ์ น้องชาย นพ.ไพศาล เจ้าของไบโอคลินิก เป็นผู้จ้างวาน โดยในวันเกิดเหตุ วันที่ 18 พ.ย.2549 นายศักดา ได้เรียกให้ตนมาพบที่ไบโอคลินิก โดยแจ้งว่ามีคนไม่ยอมใช้หนี้ขอให้มาจัดการให้หน่อย และเมื่อมาถึงได้พบกับนายชาญวิทย์ ยืนอยู่พร้อมกับถือมีด จากนั้นได้มีการทะเลาะและชกต่อยกัน ตนจึงได้เข้าทำการแย่งมีดจากมือนายชาญวิทย์ และใช้อาวุธมีดดังกล่าวแทงไป 1 ครั้ง โดยมีนายไผ่ไม่ทราบนามสกุล นำสายโทรศัพท์มารัดคอนายชาญวิทย์จนเสียชีวิต จากนั้นตนได้ไปล้างมือที่อ่างน้ำ ก่อนจะนำศพไปทิ้งแล้วหลบหนี โดยได้รับค่าจ้างจากนายศักดาเป็นเงิน 30,000 บาท
วันเดียวกัน ตำรวจได้คุมตัว นายประกอบ ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ที่ไบโอคลินิก โดยพบหลักฐานสำคัญคือในวันที่ 17 พ.ย.49 เวลา 17.00 น.ทางคลินิกได้นัดนายชาญวิทย์ เข้ามาทำการตรวจรักษาเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากที่นายชาญวิทย์ มีอาการขอบตาเน่าหลังทำศัลยกรรม โดยมีนายศักดา เฮงสวัสดิ์ น้องชายของ นพ.ไพศาล ปรากฏตัวอยู่ในคลินิกด้วย จากนั้น “จ่าอู๊ด” ได้ขับรถยนต์อีซูซุ รุ่นดีแมคซ์ สีบรอนซ์ทอง ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน พานายประกอบและนายไผ่ ไม่ทราบนามสกุล ซึ่งเป็นเพื่อนของนายประกอบมาที่คลินิก นายศักดา จึงได้ไปเปิดประตูบริเวณด้านหลังคลินิกเพื่อให้ทั้งหมดเข้ามารุมทำร้ายนายชาญวิทย์ ภายในคลินิก ซึ่งนายประกอบได้ใช้อาวุธมีดปลายแหลมด้ามไม้ ยาวประมาณ 1 ฟุต แทงนายชาญวิทย์จำนวน 1 ครั้ง ส่วนนายไผ่ได้ใช้สายโทรศัพท์รัดคอซ้ำจนเสียชีวิต ก่อนที่นายหรั่งไม่ทราบนามสกุลจะนำผ้ายางสีน้ำเงินมาห่อศพและช่วยกันยกศพขึ้นรถคันดังกล่าวไปทิ้งอำพรางคดีในท้องที่ อ.หนองแค จ.สระบุรี
ครั้นต่อมาเมื่อวันที่ 18 พ.ย.49 เจ้าหน้าที่ได้พบศพนายชาญวิทย์ และสามารถเก็บของกลางเป็นเสื้อคลุมผ้าร่มยี่ห้ออาดิดาส สีน้ำเงิน และกางเกงยีนส์เปื้อนเลือด โดยคาดว่าคนร้ายน่าจะถอดทิ้งไว้ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังพบใบนัดแพทย์ของไบโอคลินิก โดยมีข้อความระบุว่า “วันที่ 17 พ.ย.49 ตรวจซ้ำโหนกแก้ม-ใต้ตา อยากทำตาบนแต่คนไข้พูดคุยแล้วคาดหวังสูง เลยแนะนำว่าให้รอดูแผลตาล่างให้หายก่อน และดูว่าถ้าผ่าตัดใหม่จะไม่พอใจหรือถูกใจ แนะนำไม่ต้องนัด ลงชื่อ นพ.กวีวัธน์”
8 ตุลาคม นายประกอบ กลับคำให้การ โดยขอปฎิเสธทุกข้อหา หลังจากพ่อแม่จัดทนายความช่วยเหลื่อ โดยวันนั้น นายประกอบ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ตอนนี้ตนได้รับบาดเจ็บที่บริเวณข้อมือขวาเนื่องจากถูกกุญแจมือรัด และจากนี้ไปจะขอให้การปฏิเสธทั้งหมด และจะขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น รวมทั้งจะไม่ขอไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพอีกแล้ว
คดีฆาตกรรมต่อเนื่องเหยื่อไบโอคลินิก พล.ต.อ.ธานี สมบูรณทรัพย์ หัวหน้าชุดพนักงานสอบสวนคดีนี้ บอกว่า ตอนนี้ตัวคนยิงไม่น่าจะมีปัญหา เพราะค่อนข้างชัดเจนจากพยานหลักฐานที่มี ปัญหาอยู่ที่ผู้จ้างวานว่าจะทำอย่างไร ที่จะสามารถหาหลักฐานเชื่อมโยงมัดตัวผู้บงการ ซึ่งได้ใช้วิธีนำคดีที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทั้งหมด 5 คดี ซึ่งเกิดในพื้นที่ 3 กองบัญชาการ โดยคดีแรกเกิดขึ้นในพื้นที่ จ.ราชบุรี คนร้ายก่อเหตุใช้น้ำมันราดเผาบ้านนางรวีวรรณ คดีที่ 2 คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงใส่รถของ นางรวีวรรณ บนถนนลาดพร้าว คดีที่ 3 คดีสังหารนายชาญวิทย์ ชาญรัตนชัย และทิ้งศพไว้ในพื้นที่ อ.หนองแค จ.สระบุรี คดีที่ 4 คดีสังหารนายบุญลือ หรือวัฒนะ รุ่งเรือง โชเฟอร์แท็กซี่ ซึ่งเป็นพยานในคดีที่นางรวีรรณ ยื่นฟ้องไบโอคลินิก คดีสุดท้ายคือ คดีสังหารนางรวีวรรณ ซึ่งการนำคดีมาทำรวมกัน และใช้พนักงานสอบสวนทุกท้องที่มาทำร่วมกันเพื่อจะได้เห็นความเชื่อมโยง ที่มาที่ไปของแต่ละคดี เพื่อที่จะสามารถขมวดปม โยงไปถึงตัวบงการได้อย่างชัดเจน
วันนี้ “นายศักดา” ยังไม่ถูกจับกุมตัว... แต่สำหรับ “หมอไพศาล” ผู้ใช้จ้างวานฆ่า ถูกรวบตัวได้แล้ว ขณะที่กลุ่มมือปืนถูกจับกุมและให้การสารภาพไปก่อนหน้านี้ และแม้...หมอไพศาล จะให้การปฏิเสธขอสู้คดีในชั้นศาล แต่ก็คงต้องชดใช้กรรมไปอีกนาน และนี่คือบทสรุปของกฎแห่งกรรมที่ได้ก่อไว้...
โดยการถูกจับกุมครั้งนี้ หมอไพศาล ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาล รวม 3 ข้อหา ประกอบด้วย ใช้จ้างวานให้ผู้อื่นกระทำความผิดในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนพกติดตัวโดยไม่มีเหตุอันสมควร
หลายคนอาจจะยังนึกถึงภาพแห่งความโหดร้ายไม่ได้ว่า ผู้ต้องหารายนี้ได้ก่อกรรมอะไรไว้ พฤติกรรมแห่งการกระทำความผิด โหดร้ายมากน้อยแค่ไหน และทำไมวันนี้เขาจึงถูกจับกุม
ช่วงหัวค่ำวันที่ 13 กันยายน 2550 เกิดเหตุฆาตกรรมขึ้นที่หน้าบ้านเลขที่ 295 หมู่บ้านฉัตรแก้ว ซอย 11 ย่านถนนแฮปปี้แลนด์ โดยผู้เสียชีวิตจากเหตุการณครั้งนี้มีนามว่า “รวีวรรณ เสตะรัต” สาวใหญ่เจ้าของร้านขายวัสดุก่อสร้างใน จ.ราชบุรี วัย 53 ปี
เมื่อได้ยินชื่อนี้ ผู้สื่อข่าวที่ไปทำข่าวในคืนนั้นก็เกิดความรู้สึกคุ้นชื่อนี้มาก เหมือนเคยได้ยินชื่อเธอมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งก็จริงอย่างที่คิด เพราะเธอคือหญิงสาวที่ตกเป็นเหยื่อของความ “อยากสวย” ผู้เคยตกเป็นข่าวดังเกรียวกราวมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
ย้อนกลับไป...ถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวทั้งหมดเสียก่อนว่า เธอกลายเป็นเหยื่อของความอยากสวยนี้และกลายเป็นคนดังขึ้นมาได้อย่างไร กล่าวคือ เมื่อ พ.ศ.2546 หรือ 4 ปีก่อน เธอเข้ารับการผ่าตัดทำตาสองชั้น โดยการฉีดซิลิโคนรอบดวงตาที่ "ไบโอคลินิก" ย่านดอนเมือง ของ นพ.ไพศาล หรือ กวีวัธน์ เฮงสวัสดิ์ แต่การทำศัลยกรรมในครั้งนั้น กลับส่งผลกระทบกับตัวเธอย่างรุนแรง ถึงขั้น “เสียโฉม” ไม่สามารถแก้ไขให้กลับมาเหมือนเดิมได้ แถมด้วยดวงตาปิดไม่สนิท กล้ามเนื้อรอบดวงตาแข็ง แต่ทางคลินิกกลับไม่รับผิดชอบแต่อย่างใด
สองปีให้หลัง เธอเริ่มต่อสู้เพื่อขอความเป็นธรรม โดยเริ่มร้องเรียนผ่านสื่อมวลชน และหน่วยงานรัฐอื่นๆอีกมากมาย แต่เธอกลับไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร กระทั่งวันที่ 19 ส.ค.48 สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้จัดงานเสวนา เรื่อง “จากดอกรัก...สู่ระบบการเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายจากบริการทางการแพทย์” ในกิจกรรมราชดำเนินเสวนา ครั้งที่ 21 ประจำปี 2548 เธอก็ดังระเบิดไปทั่วประเทศ
เพราะวันนั้น นางรวีวรรณลุกขึ้นมาแฉว่า “ไบโอคลินิก” ที่ทำให้เธอเสียโฉมนั้น เคยฉีดเจ้าโลกเพิ่มขนาดให้รัฐมนตรีรายหนึ่งในรัฐบาลชุดที่แล้ว นอกจากนั้นเธอยังเรียกร้องให้รัฐมนตรีรายนั้นออกมาเปิดเผยตัว และเป็นพยานให้กับเธอในการต่อสู้คดี เนื่องจากเธอถูกคลินิกแห่งนี้ฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท ฐานที่ให้ข่าวว่าทำศัลยกรรมเสริมความงามที่คลินิกแห่งนี้แล้วเสียโฉม ทำให้พิการ เนื่องจากซิลิโคนที่นายแพทย์ท่านนี้ฉีดที่อวัยวะเพศชายเป็นชนิดเดียวกับที่ฉีดรอบดวงตาของเธอ ทำเอาท่านรัฐมนตรีหลายต่อหลายคนในยุคนั้น ออกมาปฏิเสธกันพลันวันว่า “ผมเปล่า”
การออกมาต่อสู้เรียกร้องของเธอนั้น ทำให้เธอกับหมอไพศาลมีคดีฟ้องร้องกันถึง 7 คดี ประกอบด้วย หมอไพศาล ฟ้องร้อง นางรวีวรรณ ทางแพ่ง 3 คดี เรียกค่าเสียหาย 129 ล้านบาท และทางอาญา 2 คดี ส่วนตัวเธอ เป็นโจทก์ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ฟ้องร้องหมอไพศาล อีก 2 คดี โดยศาลได้ยกฟ้องไปแล้ว 1 คดี ส่วนอีก 1 คดีที่เหลือ ศาลนัดอ่านคำพิพากษาในที่ 18 ก.ย. แต่เธอกลับถูกยิงเสียชีวิตเสียก่อน
และชีวิตเธอก็เริ่มอยู่ไม่เป็นสุข เริ่มจากช่วงเดือน สิงหาคม 2548 เธอเริ่มถูกข่มขู่เป็นครั้งแรก โดยคนร้ายพยายามจะลอบวางเพลิงเผาบ้านใน จ.ราชบุรี ด้วยการราดน้ำมัน แล้วจุดกระดาษหนังสือพิมพ์โยนเข้าในหน้าบ้านพัก ต่อจากนั้นเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2549 ขณะที่เธอกำลังขับรถอยู่บนถนนลาดพร้าว เธอถูกคนร้ายลอบยิง แต่โชคดีที่มือปืนทำงานพลาด กระสุนไปถูกบริเวณขอบยางกระจกด้านคนขับ จนกระจกรถแตกเป็นเมล็ดข้าวโพด ทำให้เธอรอดตายมาได้ เธอรู้ว่ามีภัยมาถึงตัวแล้วก็พยายามระวังตัวตลอด ถึงขั้นที่ต้องไปเปลี่ยนชื่อเป็น “อภัสนันท์ ธิติโชติชัยปรีชา” แต่จนแล้วจนรอด เธอก็มาถูกดักยิงเสียชีวิตในที่สุด...
หลังเธอถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหด เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งประเด็นการสังหารไว้ 2 เรื่อง คือ กรณีที่เธอมีคดีฟ้องร้องกับไบโอคลินิก และเรื่องธุรกิจส่วนตัวของเธอที่เปิดร้านค้าวัสดุก่อสร้างใน จ.ราชบุรี สุดท้ายตำรวจมุ่งไปที่ประเด็นการฟ้องร้องกับหมอไพศาล หลังทางกองปราบปราม สืบพบว่ามีอีกคดีหนึ่งที่มีความเกี่ยวพันกันกับคดีของนางรวีวรรณ
คือคดี “นายวรรธนะ หรือบุญลือ รุ่งเรือง” อายุ 42 ปี อดีตคนขับรถของหมอไพศาล แต่กลับมาเป็นพยานปากสำคัญของนางรวีวรรณ ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 มี.ค.49 ที่บริเวณแฟลต 15 บ้านพักรถไฟ กม.11 แขวงและเขตจตุจักร กทม.ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของ สน.บางซื่อ โดยนายวรรธนะถูกยิงก่อนจะขึ้นศาลเป็นพยานให้นางรวีวรรณ เพียง 15 วัน และคดีนี้ยังจับคนร้ายไม่ได้ นอกจากนี้ ตำรวจยังเชื่อว่าทั้งสองคดีน่าจะเป็นฝีมือของมือปืนกลุ่มเดียวกัน เพราะลักษณะการก่อเหตุของมือปืนทั้งสองคดีนั้นคล้ายคลึงกันมาก มีการไปถามหาผู้ตายทั้งสองคน พร้อมอ้างว่าจะมาตามทวงหนี้ ก่อนที่ทั้งสองคนจะถูกยิงตาย
18 กันยายน 2550 ...ตำรวจหลายฝ่ายมีการประชุมร่วมกันเป็นครั้งแรก เพื่อแบ่งงานกันทำอย่างชัดเจน โดยมอบหมายให้ สน.ลาดพร้าว ควบคุมเรื่องการสอบสวนทั้งหมด ฝ่าย กก.สส.บก.น.2 รับผิดชอบคดีที่ นายวรรธนะ ถูกยิงเสียชีวิต และ กก.สส.บก.น.4 ดูแลคดีของ นางรวีวรรณ ส่วนศูนย์สืบสวน บช.น.รับผิดชอบดูแลเรื่องเทคนิคต่างๆ เช่น การตรวจสอบภาพวงจรปิด และกองปราบปรามดูแลภาพรวมทั้งหมด
โดยวันนั้นตำรวจยังพบว่า ยังมีอีกคดีที่น่าจะเชื่อมโยงกับคดีของนายวรรธนะ และนางรวีวรรณ ก็คือคดีที่ “นายชาญวิทย์ ชาญรัตนชัย” อายุ 38 ปี เซลส์แมนขายสูทสุภาพบุรุษ ที่ถูกแทงเสียชีวิต และนำศพไปทิ้งไว้ในพื้นที่ สภ.ต.ย่อยหินกอง อ.หนองแค จ.สระบุรี และก่อนตาย นายชาญวิทย์ เพิ่งเดินทางขึ้นมาจากจังหวัดภูเก็ตเพื่อมาตามเรื่องร้องเรียนที่ตัวเองเคยไปทำศัลยกรรมขอบตาที่ “ไบโอคลินิก” แต่ปรากฏว่าเกิดปัญหาขอบตาเน่า ซึ่งตำรวจเชื่อว่าเจ้าตัวถูกรุมทำร้ายจากที่อื่นแล้วนำศพมาทิ้งเพื่ออำพรางคดี
จากนั้นมา...ตำรวจทุกฝ่ายทำงานอย่างหนักเพื่อติดตามจับกุมคนร้ายรายนี้ให้ได้ ไม่ว่าจะลงพื้นที่ทั้งใน จ.ราชบุรี และพื้นที่ที่เกิดเหตุยิงนายวรรธนะ และนางรวีวรรณ เพื่อเก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุด จนพบว่าช่วงก่อนเกิดเหตุทั้งสองคดีนั้นมีนาย ป. พร้อมนาย ศ. และชายลึกลับอีกคนหนึ่งมาเดินวนเวียนสังเกตการณ์อยู่ในบริเวณดังกล่าว ก่อนที่นายบุญลือ และนางระวีวรรณ จะถูกสังหาร ซึ่งพยานส่วนใหญ่ต่างให้การไปในทิศทางเดียวกัน ตำรวจจึงเชื่อว่าทั้งนาย ป. และ นาย ศ. ที่อยู่ในฐานะเป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้บงการกับกลุ่มมือปืนนั้นอาจตกอยู่ในอันตราย หรือไม่ก็หลบหนีไปแล้ว
19 กันยายน...พ.ต.อ.วรายุทธ สุขวัฒน์ ผกก.1 บก.ป.ได้ทำหนังสือถึง นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา เพื่อขอข้อมูลเรื่องร้องเรียนไบโอคลินิก หรือเรื่องร้องเรียน นพ.กวีวัธน์ หรือไพศาล เฮงสวัสดิ์ โดยหนังสือดังกล่าวระบุว่า เนื่องจากคดีนี้คนร้ายได้ลงมือกระทำผิดอย่างไม่เกรงกลัวกฏหมาย และยังเป็นที่สนใจของประชาชนทั่วไป ซึ่งตามข่าวปรากฏว่า นพ.กวีวัธน์ มีเรื่องถูกคนไข้ร้องเรียนหลายราย รวมถึงคดีของนางรวีวรรณ ผู้ตายด้วย ดังนั้นเพื่อให้การคลี่คลายคดีเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง จึงขอเอกสารเรื่องร้องเรียนทั้งหมดของคนไข้ ที่มีกับไบโอคลีนิก มาให้พนักงานสอบสวนกองปราบปราม
ซึ่งก็พบว่า นอกจากนางรวีวรรณที่มีเรื่องร้องเรียนคลินิกแห่งนี้แล้ว ยังมีผู้เสียหายอีก 5 ราย ที่เคยทำเรื่องร้องเรียน หมอไพศาล อีกด้วย โดยส่วนใหญ่เป็นการร้องเรียนเรื่องการทำศัลยกรรมแล้วไม่เป็นที่พอใจจึงทำเรื่องร้องเรียนไปยังแพทยสภา
จนกระทั่งวันที่ 24 กันยายน การจับกุมมือปืนได้บังเกิดขึ้น โดยชุดสืบสวนกองปราบปราม บุกรวบนายจตุรงค์ หรือ ตึ๋ง เบ็ญกูล อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 139/3 หมู่ 7 ต.บ่อกวางทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี ผู้ต้องหาตามหมายจับคดีครอบครองอาวุธปืนโดยผิดกฎหมาย ก่อนนำตัวมาสอบเครียดทั้งคืน และ นายจตุรงค์ ให้การรับสารภาพว่า เป็นผู้ลงมือสังหารทั้งนายวรรธนะ และนางรวีวรรณ ด้วยตัวเอง พร้อมทั้งให้การซัดทอดว่า นายประกอบ หรือกอบ สีนาด อายุ 29 ปี และนายศักดา เฮงสวัสดิ์ อายุ 32 ปี น้องชาย หมอไพศาล เป็นผู้ร่วมขบวนการและผู้จ้างวานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบจึงขออนุมัติหมายจับนายประกอบ และนายศักดา ทันที
วันรุ่งขึ้น 25 กันยายน ตำรวจกองปราบปราม นำโดย พ.ต.อ.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ รักษาการ ผบก.ป.นำทีมบุกเข้าค้นไบโอคลินิก ของหมอไพศาล เพื่อสางคดีฆ่านางรวีวรรณ และเรื่องยาปลอม รวมทั้งอีก 14 จุด ใน 6 จังหวัด คือ พระนครศรีอยุธยา ชัยนาท อุดรธานี ชลบุรี และปทุมธานี เพื่อหาหลักฐานในคดีเพิ่มเติม และติดตามจับกุมนายศักดา และนายประกอบ แต่ปรากฎว่าไม่พบตัวผู้ต้องหาทั้งสองคน
ส่วนนายจตุรงค์ ก็ถูกส่งตัวไปยัง สน.ลาดพร้าว เพื่อเข้าสู่กระบวนการสอบสวนโดยพนักงานสอบสวนสน.บางซื่อ เจ้าของคดียิงนายวรรธนะ และพนักงานสอบสวน สน.ลาดพร้าว เจ้าของคดียิงนางรวีรวรรณ โดยนายจตุรงค์ สารภาพว่า ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2545 เคยถูกจับข้อหาพยายามฆ่าที่ จ.ชลบุรี ซึ่งศาลพิพากษาจำคุก 4 ปี โดยถูกจำคุกที่เรือนจำลาดยาว ระหว่างนั้นได้รู้จักกับนายประกอบ เมื่อพ้นโทษออกมาเมื่อเดือน ม.ค.2549 ก็ได้ไปบวช ก่อนจะสึกออกมาและเริ่มรับงานเมื่อเดือน ก.พ.2550 โดยนายประกอบ เป็นผู้ติดต่อมา ซึ่งงานแรก คือ ยิงนายวรรธนะ โดยครั้งนั้นไปด้วยกัน 3 คน คือ นายศักดา เป็นคนชี้เป้า ได้ค่าจ้าง 3 หมื่นบาท
ส่วนคดีที่ยิง นายรวีวรรณ นายจตุรงค์ ก็ได้รับการว่าจ้างจากนายศักดา อีกเช่นกัน โดยเริ่มจากทั้ง 3 คน ไปรวมตัวกันที่บ้านของนายศักดา ใน ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี จากนั้นก็เดินทางมาที่บ้านของนางรวีวรรณ ในหมู่บ้านฉัตรแก้ว ซอย 11โดยนายศักดา เป็นคนนั่งชี้เป้าอยู่ในรถ ส่วนนายจตุรงค์กับนายประกอบก็ไปนั่งซดเบียร์รอที่สวนหย่อมท้ายซอย
เมื่อนางรวีวรรณ กลับมาถึงบ้าน นายศักดาก็ส่งสัญญาณให้นายจตุรงค์วิ่งออกมาจากสวนหย่อมยิงใส่นางรวีวรรณ 2 นัดหน้าบ้าน แล้วตามเข้าไปซ้ำอีก 3 นัดในบ้าน ก่อนจะวิ่งย้อนกลับกลับมาผ่านสวนหย่อมไปขึ้นรถจักรยานยนต์ที่นายประกอบติดเครื่องรออยู่ออกไปทางซอย 10 แล้วนำรถจักยานยนต์ไปจอดทิ้งไว้ที่อาคารชุดลุมพินีเซ็นเตอร์ ทิ้งกระบอกเก็บเสียงกับเสื้อยืดที่ใส่ก่อเหตุในถังขยะ ก่อนจะวิ่งไปเรียกแท็กซี่ไปลงที่ถนนงามวงศ์วานฝั่งตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อรอให้นายศักดาขับรถมารับ โดยนายจตุรงค์ได้ค่าจ้างในการก่อเหตุครั้งนี้เกือบ 1 แสนบาท ส่วนอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุทั้งหมดนายศักดาเป็นคนจัดหามาให้
หลังจากนั้นวันที่ 27 กันยายน ตำรวจก็คุมตัวนายจตุรงค์ไปทำแผนกระกอบคำรับสารภาพอย่างละเอียดยิบ ทั้งคดีที่ยิงนายวรรธนะ และนางรวีวรรณ แม้จะก่อนหน้านั้นจะส่อเค้าว่าจะมีเรื่องวุ่น เพราะนายจตุรงค์เกิดพูดกับผู้สื่อข่าวดื้อๆ ว่า ไม่ได้เป็นคนยิงนางรวีวรรณ แต่สาเหตุก็มาจากเจ้าตัวยังไม่อยากไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ เพราะยังทำใจไม่ได้
1 ตุลาคม นพ.กวีวัธน์ หรือไพศาล เฮงสวัสดิ์ เจ้าของสถาบันเสริมความงามไบโอคลินิก เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร ผู้บังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี หรือ ปศท.(ในขณะนั้น) ตามหมายเรียกที่ถูกสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ร้องทุกข์กล่าวโทษไว้ 2 ข้อหา คือ ผลิตยาโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีและปรับไม่เกิน 10,000 บาท และข้อหาผลิตยาที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ กรณีใช้สารไบโอศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า เช่นเดียวกับที่ทำกับนางรวีวรรณ ที่ถูกฆ่าตายอย่างเหี้ยมโหด
โดยในวันนั้น หมอไพศาลได้ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าข้อเท็จจริงเรื่องซิลิโคน ไม่ว่าจะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ก็ไม่ใช่ยาและตนก็มีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมอย่างถูกต้อง ส่วนกรณีที่ นายศักดา เฮงสวัสดิ์ น้องชายถูกระบุว่าเกี่ยวข้องคดีฆ่านางรวีวรรณ เรื่องนี้ไม่ทราบข้อเท็จจริง ขอให้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องพิสูจน์
3 ตุลาคม ตำรวจกองปราบปราม (บก.ป.) สามารถจับกุมตัว นายประกอบ ศรีนาค อายุ 29 ปี อยุ่บ้านเลขที่ 154/2 หมู่ 7 ต.พลวงสองนาง อ.สว่างอารมณ์ จ.อุทัยธานี ผู้ต้องหาร่วมสังหาร นางรวีวรรณ ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2908/2550 ลงวันที่ 24 ก.ย.2550 โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ป.ที่เฝ้าสืบสวนจับกุมอยู่ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองหนองคาย ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจประเทศลาว ว่าพบนายประกอบพักอาศัยอยู่ในเมืองเวียงจันทน์ ประเทศลาว โดยนายประกอบได้ไปอาศัยพักอยู่กับ นายสิทธิพงษ์ คำรักษ์ หรืออาร์ต ซึ่งเป็นเพื่อนของนายประกอบ เจ้าหน้าที่ตำรวจประเทศลาว จึงควบคุมตัวนายประกอบ มาส่งตัวให้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองหนองคาย ก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ป.จะควบคุมตัวนายประกอบ มาสอบสวนที่ บก.ป.ร่วมกับพนักงานสอบสวน สน.ลาดพร้าว
หลังจับกุม นายประกอบ ได้รับสารภาพว่า เป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ให้นายจตุรงค์ หรือตึ๋ง ใช้อาวุธปืนยิงนางรวีวรรณ นอกจากนี้ ยังได้ร่วมก่อเหตุสังหาร นายชาญวิทย์ เหยื่อศัลยกรรม และนายบุญลือ อดีตคนขับรถของ นพ.ไพศาล โดยได้หลบหนีไปอยู่ประเทศลาว หลังได้รับเงินค่าจ้างจากนายศักดา จำนวน 25,000 บาท ส่วน นายบุญลือ ได้เงินค่าจ้างจำนวน 30,000 บาท สำหรับอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุก็ได้แยกชิ้นส่วน โดยส่วนหนึ่งได้นำไปทิ้งไว้ที่คลอง 3 ใน จ.ปทุมธานี ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังติดตามค้นหาชิ้นส่วนของอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุอีกบางส่วนที่คนร้ายได้นำไปทิ้งไว้
ส่วนเหตุสังหารโหด นายประกอบ ให้การยอมรับว่า เป็นคนฆ่านายชาญวิทย์ ที่มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการผ่าตัดทำศัลยกรรมที่ไบโอคลินิก และถูกนำศพไปทิ้งในพื้นที่ สภ.อ.หนองแค จ.สระบุรี โดยนายศักดา เฮงสวัสดิ์ น้องชาย นพ.ไพศาล เจ้าของไบโอคลินิก เป็นผู้จ้างวาน โดยในวันเกิดเหตุ วันที่ 18 พ.ย.2549 นายศักดา ได้เรียกให้ตนมาพบที่ไบโอคลินิก โดยแจ้งว่ามีคนไม่ยอมใช้หนี้ขอให้มาจัดการให้หน่อย และเมื่อมาถึงได้พบกับนายชาญวิทย์ ยืนอยู่พร้อมกับถือมีด จากนั้นได้มีการทะเลาะและชกต่อยกัน ตนจึงได้เข้าทำการแย่งมีดจากมือนายชาญวิทย์ และใช้อาวุธมีดดังกล่าวแทงไป 1 ครั้ง โดยมีนายไผ่ไม่ทราบนามสกุล นำสายโทรศัพท์มารัดคอนายชาญวิทย์จนเสียชีวิต จากนั้นตนได้ไปล้างมือที่อ่างน้ำ ก่อนจะนำศพไปทิ้งแล้วหลบหนี โดยได้รับค่าจ้างจากนายศักดาเป็นเงิน 30,000 บาท
วันเดียวกัน ตำรวจได้คุมตัว นายประกอบ ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ที่ไบโอคลินิก โดยพบหลักฐานสำคัญคือในวันที่ 17 พ.ย.49 เวลา 17.00 น.ทางคลินิกได้นัดนายชาญวิทย์ เข้ามาทำการตรวจรักษาเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากที่นายชาญวิทย์ มีอาการขอบตาเน่าหลังทำศัลยกรรม โดยมีนายศักดา เฮงสวัสดิ์ น้องชายของ นพ.ไพศาล ปรากฏตัวอยู่ในคลินิกด้วย จากนั้น “จ่าอู๊ด” ได้ขับรถยนต์อีซูซุ รุ่นดีแมคซ์ สีบรอนซ์ทอง ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน พานายประกอบและนายไผ่ ไม่ทราบนามสกุล ซึ่งเป็นเพื่อนของนายประกอบมาที่คลินิก นายศักดา จึงได้ไปเปิดประตูบริเวณด้านหลังคลินิกเพื่อให้ทั้งหมดเข้ามารุมทำร้ายนายชาญวิทย์ ภายในคลินิก ซึ่งนายประกอบได้ใช้อาวุธมีดปลายแหลมด้ามไม้ ยาวประมาณ 1 ฟุต แทงนายชาญวิทย์จำนวน 1 ครั้ง ส่วนนายไผ่ได้ใช้สายโทรศัพท์รัดคอซ้ำจนเสียชีวิต ก่อนที่นายหรั่งไม่ทราบนามสกุลจะนำผ้ายางสีน้ำเงินมาห่อศพและช่วยกันยกศพขึ้นรถคันดังกล่าวไปทิ้งอำพรางคดีในท้องที่ อ.หนองแค จ.สระบุรี
ครั้นต่อมาเมื่อวันที่ 18 พ.ย.49 เจ้าหน้าที่ได้พบศพนายชาญวิทย์ และสามารถเก็บของกลางเป็นเสื้อคลุมผ้าร่มยี่ห้ออาดิดาส สีน้ำเงิน และกางเกงยีนส์เปื้อนเลือด โดยคาดว่าคนร้ายน่าจะถอดทิ้งไว้ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังพบใบนัดแพทย์ของไบโอคลินิก โดยมีข้อความระบุว่า “วันที่ 17 พ.ย.49 ตรวจซ้ำโหนกแก้ม-ใต้ตา อยากทำตาบนแต่คนไข้พูดคุยแล้วคาดหวังสูง เลยแนะนำว่าให้รอดูแผลตาล่างให้หายก่อน และดูว่าถ้าผ่าตัดใหม่จะไม่พอใจหรือถูกใจ แนะนำไม่ต้องนัด ลงชื่อ นพ.กวีวัธน์”
8 ตุลาคม นายประกอบ กลับคำให้การ โดยขอปฎิเสธทุกข้อหา หลังจากพ่อแม่จัดทนายความช่วยเหลื่อ โดยวันนั้น นายประกอบ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ตอนนี้ตนได้รับบาดเจ็บที่บริเวณข้อมือขวาเนื่องจากถูกกุญแจมือรัด และจากนี้ไปจะขอให้การปฏิเสธทั้งหมด และจะขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น รวมทั้งจะไม่ขอไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพอีกแล้ว
คดีฆาตกรรมต่อเนื่องเหยื่อไบโอคลินิก พล.ต.อ.ธานี สมบูรณทรัพย์ หัวหน้าชุดพนักงานสอบสวนคดีนี้ บอกว่า ตอนนี้ตัวคนยิงไม่น่าจะมีปัญหา เพราะค่อนข้างชัดเจนจากพยานหลักฐานที่มี ปัญหาอยู่ที่ผู้จ้างวานว่าจะทำอย่างไร ที่จะสามารถหาหลักฐานเชื่อมโยงมัดตัวผู้บงการ ซึ่งได้ใช้วิธีนำคดีที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทั้งหมด 5 คดี ซึ่งเกิดในพื้นที่ 3 กองบัญชาการ โดยคดีแรกเกิดขึ้นในพื้นที่ จ.ราชบุรี คนร้ายก่อเหตุใช้น้ำมันราดเผาบ้านนางรวีวรรณ คดีที่ 2 คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงใส่รถของ นางรวีวรรณ บนถนนลาดพร้าว คดีที่ 3 คดีสังหารนายชาญวิทย์ ชาญรัตนชัย และทิ้งศพไว้ในพื้นที่ อ.หนองแค จ.สระบุรี คดีที่ 4 คดีสังหารนายบุญลือ หรือวัฒนะ รุ่งเรือง โชเฟอร์แท็กซี่ ซึ่งเป็นพยานในคดีที่นางรวีรรณ ยื่นฟ้องไบโอคลินิก คดีสุดท้ายคือ คดีสังหารนางรวีวรรณ ซึ่งการนำคดีมาทำรวมกัน และใช้พนักงานสอบสวนทุกท้องที่มาทำร่วมกันเพื่อจะได้เห็นความเชื่อมโยง ที่มาที่ไปของแต่ละคดี เพื่อที่จะสามารถขมวดปม โยงไปถึงตัวบงการได้อย่างชัดเจน
วันนี้ “นายศักดา” ยังไม่ถูกจับกุมตัว... แต่สำหรับ “หมอไพศาล” ผู้ใช้จ้างวานฆ่า ถูกรวบตัวได้แล้ว ขณะที่กลุ่มมือปืนถูกจับกุมและให้การสารภาพไปก่อนหน้านี้ และแม้...หมอไพศาล จะให้การปฏิเสธขอสู้คดีในชั้นศาล แต่ก็คงต้องชดใช้กรรมไปอีกนาน และนี่คือบทสรุปของกฎแห่งกรรมที่ได้ก่อไว้...