xs
xsm
sm
md
lg

ชีวิตดั่งนิยาย "มาริโอ คาเปกชี" ได้โนเบล แถมด้วยน้องสาวที่พลัดพราก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

มาริโอ คาเปกชี โชว์หนังสือพิมพ์โดโลมีเทนซึ่งลงข่าวการพบกันระหว่างเขากับน้องสาว (ภาพจากซอลท์เลคทรีบูน)
ชีวิตดั่งนิยาย เมื่อพี่ชายที่พลัดพรากกันตั้งแต่สมัยสงครามโลก กลายเป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ในฐานะ "ผู้ได้รับรางวัลโนเบล" บทซึ้งของการพบกัน ระหว่างพี่น้องร่วมมารดา ที่ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อนนานนับ 60 ปีจึงเกิดขึ้นกับ "มาริโอ คาเปกชี" นักพันธุศาสตร์ชาวอิตาลี ผู้ที่ต้องสูญเสียครอบครัวไปกับสงคราม

เมื่อปีที่แล้ว "มาริโอ คาเปกชี" (Mario Capecchi) ศาสตราจารย์ด้านพันธุศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยยูทาห์ (University of Utah) กลายเป็นคนดังขึ้นมาทันใด ทั้งในฐานะผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสรีรศาสตร์และการแพทย์ประจำปี 2550 และความน่าสนใจก็เท่าทวีขึ้นมาอีก ในฐานะผู้ที่เคยใช้ชีวิตข้างถนน ร่อนเร่ในวัยเด็ก จากจุดต่ำสุด ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดแห่งวงวิชาการ

ทว่าเรื่องของเขายังคงไม่จบแค่นี้ เพราะเมื่อปลายเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ซอลต์เลคทรีบูน (The Salt Lake Tribune) แห่งเมืองซอลต์เลคซิตี มลรัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา ลงเรื่องราวอันมหัศจรรย์อีกหน เกี่ยวกับคาเปกชีว่า รางวัลโนเบลที่เขาได้รับนั้น กลายเป็นประตูสู่เรื่องที่ไม่คาดหมาย

ย้อนไปเมื่อเดือน ต.ค.50 ปี ช่วงเวลาที่คาเปชีกลายเป็นข่าว ตามหน้าหนังสือพิมพ์ไปทั่วโลก ในฐานะผู้ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ และเวลานั้นเอง "มาร์เลเนอ โบเนลลี" (Marlene Bonelli) วัย 69 ปี เห็นข่าวคราวดังกล่าว และจดจำได้ว่านี่คือพี่ชายของเธอ ที่พลัดพรากกันไปตั้งแต่ช่วงสงคราโลกครั้งที่ 2 และไม่คิดว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่

โบเนลลีซึ่งอยู่ในออสเตรีย จึงได้แจ้งไปทางหนังสือพิมพ์ "โดโลมีเตน" (Dolomiten) ที่ลงข่าวดังกล่าว เพื่อให้ช่วยนำรูปของเธอ ส่งต่อไปยังคาเปกชีผู้เป็นพี่ชาย ที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ

"เธอจมอยู่กับความคิดว่า แม่และผมตายไปแล้วในสงคราม เธอเองเป็นคนน่ารัก เหมือนที่น้องสาวสมควรจะเป็น" คาเปกชีให้สัมภาษณ์ หลังจากได้พบกับน้องสาว ซึ่งนำทางโดย "โดโลมีเตน"

การพบกันครั้งแรกในรอบ 60 กว่าปีของพี่น้องร่วมมารดา เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 พ.ค.51 ที่โรงแรมในชมชนบท ของเขตพื้นที่ภูเขาทางเหนือของเมืองโบลซาโน ในอิตาลี ซึ่งเป็นสถานที่ซึ่งทั้งสองใช้เวลาร่วมกัน อย่างสั้นๆ ในวัยเยาว์

2 พี่น้องโอบกอดและถ่ายรูปร่วมกัน แต่ทั้งคู่ต้องพูดคุยผ่านล่าม เพราะโบเนลลีพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ และคาเปกชีก็ไม่สามารถพูดภาษาเยอรมันได้ หนำซ้ำทั้งคู่ก็ลืมภาษาอิตาเลียนกันไปหมดแล้ว

นสพ.โดโลมีเตนเป็นผู้จัดการให้ 2 พี่น้องพบกัน และยังได้บันทึกเหตุการณ์ที่ทั้งสองพบกัน โดยพากย์เป็นภาษาเยอรมัน ซึ่งติดตามคลิปภาพได้ที่เว็บไซต์ www.stol.it

คาเปกชี ในขณะที่เดินทางไปพบน้องสาว เขามีโปรแกรมบรรยายพิเศษ เปิดการประชุมวิชาการทางด้านการแพทย์ที่อิตาลี ในวันเดียวกันนั้น โดยบรรยายเกี่ยวกับยีนเป้าหมาย ซึ่งเป็นผลงานที่ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลปีล่าสุด อีกทั้งเขายังได้พูดเกริ่นนำถึงเรื่องราวในวัยเด็ก เกี่ยวกับการต่อสู้เอาชีวิตรอดในสมัยสงครามโลก ที่ประเทศอิตาลี และทำให้เวลานั้น เขาเสมือนเป็นเด็กกำพร้า

อีกหนึ่งความทรงจำในวัยเยาว์ของคาเปกชี คือเรื่องที่ทางการเยอรมนีจับกุมแม่ของเขาในฐานะนักโทษการเมือง และไม่นานหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 อุบัติขึ้น และแม่ของเขาซึ่งคือ "ลูซี แรมเบิร์ก" (Lucy Ramberg) ศิลปินอเมริกัน ผู้มีความคิดเอียงซ้ายก็ถูกจับกุมเข้าค่ายกักกัน

หากแต่ที่เขาไม่ทราบคือ ก่อนหน้านั้นไม่กี่ปี แม่ได้ให้กำเนิดลูกสาวเมื่อเดือน ก.พ.ในปี 2482 และเพียงไม่กี่เดือน ก็ได้ยกลูกสาวให้กับเพื่อนไปดูแล ซึ่งก็คือมักซ์ โบเนลลี (Max Bonelli) และหลุยส์ ลินเดอร์ (Luise Linder) เนื่องจากเธอถูกทางการเยอรมันติดตาม และถูกขังคุกในอิตาลีในที่สุด

"แม่รู้ดีว่าไม่สามารถรักษาลูกไว้ได้" คาเปกชีกล่าว โดยขณะที่แม่ยกน้องสาวให้เพื่อนไปนั้น เขาอายุได้ 2 ขวบ

2 ปีหลังจากนั้น นาซีได้จับกุมแม่ของทั้งสอง และย้ายเธอไปขังไว้ที่เมืองมิวนิค เยอรมนี ส่วนคาเปกชีอาศัยอยู่ในฟาร์มแห่งหนึ่ง แต่เมื่อเงินที่แม่ฝากไว้เพื่อดูแลเขาหมดลง เขาก็ต้องออกมาใช้ชีวิตเร่ร่อนข้างถนน มีบางครั้งที่กลับไปอยู่กับพ่อซึ่งเป็นทหาร แต่ในที่สุดพ่อก็ไม่รอดจากสงคราม ทำให้เขาจึงต้องหวนไปใช้ชีวิตข้างถนนอีก

ไม่นานหลังสงครามสิ้นสุด ลูซีก็ได้พบลูกชายของเธอในวันเกิดอายุ 9 ขวบพอดี โดยคาเปกซีวันนั้น อยู่ในอาการป่วยและรักษาตัวอยู่ในพยาบาลอนาถา จากการขาดสารอาหารและอาจเป็นโรคไข้รากสาดใหญ่ด้วย

"ประสบการณ์ที่แม่ได้รับ ชวนสยองขวัญ แม่แก่ไปมากระหว่างติดคุก 5 ปี" คาเปกชีกล่าว และบอกว่า แม่ไม่ได้อธิบายให้เขาฟัง ว่าต้องเผชิญอะไรบ้างระหว่างถูกคุมตัว ตามที่ลุงบอก เขาทำให้เข้าใจผิดมานาน ว่าแม่ถูกจองจำในค่ายกักกันที่ดาชัว (Dachau) แต่จะการตรวจสอบเมื่อเร็วๆ นี้พบว่าแท้จริงแล้ว แม่ถูกขังในคุกแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เมืองมิวนิค

คาเปกชีและแม่ย้ายไปอยู่สหรัฐอเมริกา โดยอาศัยครอบครัวของลุง แต่ก็ไม่มีใครบอกเขาถึงเรื่องน้องสาวเลย จนกระทั่งข่าวเรื่องเขาได้รับรางวัลโนเบล เผยแพร่ออกมาตามหน้าหนังสือพิมพ์ ทำให้ทั้งคู่ได้กลับมาพบกันอีกครั้งหนึ่ง

"เมื่อดูรูปก็รู้ว่าเป็นน้องสาวผมอย่างไม่ต้องสงสัย" คาเปกชีกล่าว และระบุว่าน้องสาวมีความคล้ายคลึงกับแม่ เมื่อได้พบกันเป็นการส่วนตัว ท่าทางของโบเนลลีได้ย้ำเตือนให้เขา หวนระลึกถึงแม่ ผู้ที่เขานิยามว่าเป็นผู้หญิงสวย ที่มีความสามารถในศิลปะการแสดง ทั้งนี้แม่ของทั้งสองเสียชีวิตในวันเกิดปีที่ 50 ของคาเปกซีเมื่อปี 2530.
คาเปกชีวัย 70 ปีกับน้องสาววัย 69 ปี เพิ่งจะพบกันเมื่อเดือน พ.ค.51 หลังจากพลัดพรากกันไปตั้งแต่ช่วงสงครามโลก ที่ทั้งคู่ได้กลับมาพบกันเพราะผู้เป็นพี่ชายได้รับรางวัลโนเบล จนกลายเป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ (ภาพจากโดโลมีเตน)
กำลังโหลดความคิดเห็น