ลมฟ้าอากาศอาจเป็นใจมากกว่าเทพยดา เมื่องานวิจัยล่าสุดเผยว่าปรากฏการณ์ "เอลนิญโญ" อาจพัดพาให้ "เฟอร์ดินัลด์ แมเจลแลน" นักสำรวจชาวโปรตุเกสเดินทางข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกได้เมื่อต้นศตวรรษที่ 15 แต่พาเขาหลุดเป้าหมายไปไกลกว่า 2 พันกิโลเลยทีเดียว
แม้ว่าปรากฏการณ์เอลนิญโญ (El Niño) จะเพิ่งสร้างความฉงน ให้กับนักวิทยาศาสตร์ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมานี้ แต่การศึกษาล่าสุดของ ดร.สก็อตต์ ฟิตซ์พาทริค (Dr.Scott Fitzpatrick) นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยนอร์ธ คาโรไลนา สเตท (North Carolina State University) สหรัฐอเมริกา แสดงให้เห็นว่าการเดินทางของนักสำรวจในประวัติศาสตร์ เฟอร์ดินันด์ แมเจลแลน (Ferdinand Magellan) ชาวโปรตุเกสที่เดินทางรอบโลกเมื่อราว 500 ปีที่ผ่านมานั้น ดูคล้ายได้รับอิทธิพลจากสภาพอากาศที่ไม่ปกติซึ่งรวมถึงปรากฏการณ์เอลนิญโญด้วย
ตามรายงานของทั้งไซน์เดลี (Science Daily) และสำนักข่าวเอพี ต่างนำเสนอการศึกษาของ ดร.ฟิตซ์พาทริคซึ่งระบุว่าสภาพอากาศที่ไม่ปกติ อย่างปรากฏการณ์เอลนิญโญนั้น ทำให้แมเจลแลนเดินทางข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกได้อย่างง่ายดาย แต่ก็ประมาณว่าสภาพอากาศดังกล่าวได้พัดพาให้นักเดินทางสำรวจแห่งประวัติศาสตร์ผู้นี้ หลุดจากเป้าหมายไปไกลหลายพันกิโลเมตรเลยทีเดียว
แมเจลแลนได้ออกเดินทางจากสเปนเมื่อปี พ.ศ.2062 ด้วยความหวังที่จะได้อ้างสิทธิบนความอุดมสมบูรณ์ของหมู่เกาะเครื่องเทศ (Spice Islands) หรือมาลัคคัสให้กับชาวสเปน และ 2 ปีหลังจากนั้นเขาไปถึงเกาะกวม ซึ่งนับเป็นการติดต่อระหว่างชาวยุโรปกับวัฒนธรรมแห่งหมู่เกาะแปซิฟิกเป็นครั้งแรก แต่เป้าหมายที่ว่า ก็ห่างไกลจากเป้าหมายเดิมที่ตั้งใจไว้อยู่ไกลโขถึงราว 2,400 กิโลเมตร
คำถามจึงตามมาว่า เขาเดินทางไกลขนาดนั้นได้อย่างไร?
และเขาพลาดหมู่เกาะเครื่องเทศไปไกลเช่นนั้นได้อย่างไรกัน?
ทั้งนี้มาเจลแลนพยายามตามหาหมู่เกาะเครื่องเทศซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของอินโดนีเซีย และการเดินทางนำเขาไปถึงบริเวณที่อยู่ทางตอนเหนือของเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งเส้นทางดังกล่าวอาจถูกควบคุมโดยเงื่อนไขและกระแสลมที่เป็นใจระหว่างปรากฏการณ์เอลนิญโญ
ขณะที่ข้อมูลเพิ่มเติมจากเอพีรายงานว่าเมื่อเกิดปรากฏการณ์เอลนิญโญขึ้น น้ำบริเวณเส้นศูนย์สูตรของมหาสมุทรแปซิฟิกอุ่นขึ้นกว่าปกติทำให้อากาศลอยตัวสูงขึ้นและเปลี่ยนแปลงรุปแบบลมและสภาพอากาศ โดยอาจเกิดผลกระทบไปทั่วโลกซึ่งอาจรวมถึงความแห้งแล้งทางด้านตะวันตกของแปซิฟิกและการเกิดฝนมากขึ้นในเปรูและชายฝั่งทางตอนใต้ของอเมริกา
หลังจากผ่านช่องแคบที่ภายหลังตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่เขา แล้วแมเจลแลนล่องเรือขึ้นเหนือผ่านชายฝั่งทางตอนใต้ของอเมริกา จากนั้นก็เลี้ยวไปทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ผ่านเส้นศูนย์สูตรแล้วไปถึงฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาถูกสังหารจากการสู้รบกับชนพื้นเมือง ซึ่งตามข้อมูลสภาพอากาศชี้ว่าปรากฏการณ์ปรากฏการณ์เอลนิญโญเกิดขึ้นในปี พ.ศ.2062 กับ 2063 และอาจจะเกิดขึ้นเมื่อปี 2061 ด้วย
ส่วนไซน์เดลีระบุว่า ดร.ฟิตซ์พาทริคได้ร่วมศึกษากับ ดร.ริชาร์ด คาลลากัน (Dr.Richard Callaghan) จากมหาวิทยาลัยคาลการี (University of Calgary ) แคนาดานั้น โดยใช้แบบจำลองทางคอมพิวเตอร์และข้อมูลทางประวิตศาสตร์ เพื่อค้นหาปัจจัยเกี่ยวทางด้านมหาสมุทรที่อาจมีบทบาทต่อการเดินทางอันราบรื่นของแมเจลแลน
หลังจากวนรอบแหลมฮอร์น (Cape Horn) ที่ปลายทวีปอเมริกาใต้และตัดสินใจที่จะล่องเรือออกไปไกลจากตอนเหนือของหมู่เกาะเครื่องเทศซึ่งมาเจลแลนรู้ว่าอยู่ในแนวเส้นสูตรศูนย์
ในรายงานที่ทั้งสองร่วมกันศึกษาสรุปว่าเงื่อนไขของสภาพอากาศที่เป็นใจอย่างผิดปกติ และดูคล้ายมีความสัมพันธ์กับปรากฏการ์ณเอลนิญโญนี้ล่องเรือขึ้นทางเหนือ และอาจชักจูงให้เขามุ่งหน้าต่อในทิศทางดังกล่าว เพื่อหลีกเลี่ยงการอดอาหาร ซึ่งทำให้การเดินทางของแมเจลแลนไม่ใช่คณะแรกที่เดินทางรอบโลก แต่ก็เป็นการบันทึกแรกๆ ทางประวัติศาสตร์ของปรากฏการณ์เอลนิญโญ
รายงานยังสรุปอีกว่าแมเจลแลนล่องเรือรอบแหลมฮอร์น และมุ่งสู่ส่วนท้ายของปรากฏการณ์เอลนิญโญเป็นผลให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นมากกว่าปกติ และยังทำให้เขาล่องเรือไปยังตอนเหนือผ่านชายฝั่งของชิลีได้อย่างง่ายดายเช่นกัน ซึ่ง ดร.ฟิตซ์พาทริคและดร.คาลลากันวิเคราะห์ว่า หลังออกจากชายฝั่งชิลีแล้ว แมเจลแลนได้เลือกที่เดินทางต่อไปทางเหนือ จากลมที่มีมากและกระแสที่พัดพาให้คณะเดินทางเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่ดี อีกทั้งยังทำให้เขาเดินทางต่อไปได้ในขณะที่ลูกเรือเจ็บป่วยจากโรคลักปิดลักเปิดและอาการเจ็บป่วยอื่นๆ
ขณะที่นักเดินทางอื่นๆ ก็อาจจะได้รับแรงเกื้อหนุนจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยเช่นกัน อาทิ เซอร์ฟรานซิส แดรค (Sir Francis Drake) ที่เดินทางผ่านช่องแคบแมเจลแลน (Strait of Magellan) เมื่อปี พ.ศ.2121 แต่เขาก็ต้องเผชิญกับพายุ ในมหาสมุทรแปซิฟิกอยู่หลายเดือน ซึ่งทำให้เรือของเขาอับปางลง ขณะที่กัปตันเจมส์ คุก (Jame Cook) ก็ดูคล้ายจะได้ประโยชน์จากปรากฏการณ์เอลนิญโญเช่นกันระหว่างเส้นทางสำรวจมหาสมุทรแปซิฟิกเมื่อปี พ.ศ.2312
สำหรับงานวิจัยนักโบราณคดีจากสหรัฐฯ และแคนาดาครั้งนี้จะตีพิมพ์ลงวารสารแปซิฟิกฮิสทรี (Pacific History) ฉบับเดือน ส.ค.นี้.