∞ สวัสดีวันเสาร์ "ไซน์กระซิบ" กลับมาพบกับท่านผู้อ่านอีกเช่นเคย ก่อนที่จะเริ่มเม้าท์ใครๆ ขอแสดงความเสียใจกับประเทศเพื่อนบ้านผู้ประสบภัยไซโคลน "นาร์กีส์" เห็นข่าวคราวทีแรกที่มีความสูญเสียเพียงเล็กน้อย แต่พอเอาเข้าจริง...กลับกลายเป็นภัยพิบัติน้องๆ "สึนามิ"...
...เห็นพายุที่รุนแรงขนาดนี้ หลายๆ คนก็อดสงสัยไม่ได้ว่า เกี่ยวกับ "โลกร้อน" หรือไม่อย่างไร "ไซน์กระซิบ" เคยได้ยินผลการประชุมของเหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศแห่งสมาคมอุตุนิยมวิทยาเพิ่งถกกันไปหมาดๆ เมื่อต้นปีนี้เองว่า ความรุนแรงของพายุไม่น่าจะเกี่ยวกับโลกร้อน อีกทั้งอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นจะช่วยลดความรุนแรงของไซโคลนและเฮอริเคนลงได้ (อย่างไม่น่าเชื่อ) ...
... แล้ว "นาร์กิส" มาแรงได้ไง ...ไฉนถึงรุนแรงได้ขนาดนี้... ปกติแล้ว "พายุหมุนเขตร้อน" เกิดขึ้นเป็นประจำปีละครั้งตามฤดูกาล และเส้นทางตามปกติคือจากมหาสมุทรอินเดียไม่ปัดซ้ายไปทางอินเดีย ก็เบนขวาสู่บังคลาเทศหรือเทือกเขาในแถบตะวันออกเฉียงเหนือของพม่า (ซึ่งสภาพภูมิอากาศที่เป็นเช่นนั้น จึงทำให้แนวเส้นทางประจำของพายุมีผู้อาศัยอยู่น้อย) ...
....แต่ครั้งนี้เส้นทางพายุเปลี่ยนไปจากปกติ พัดเข้าไปทางสามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิระวดีแทน นอกจากจะเป็นพื้นที่ผู้คนหนาแน่นแล้ว อิทธิพลของลมพายุที่ขึ้นฝั่งด้วยความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ยังส่งผลให้เกิดคลื่นยักษ์ 12 ฟุตหนุนเข้าชายฝั่ง คล้ายๆ กับการเกิดสึนามิก็ไม่ปาน...
... นักอุตุมะกันเขาว่านี่นับเป็นครั้งแรกที่พายุบริเวณนี้ขึ้นฝั่งทางสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ และการใช้เส้นทางเดินผิดไปจากเดิมนั้นเชื่อว่าเกิดขึ้น 500 ปีครั้ง...
... ทางอุตุอินเดียก็จับตาพายุในอ่าวเบงกอลอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่เป็นดีเปรสชั่นน้อยๆ จนกระทั่งเริ่มรุนแรง และส่งรายงานคาดการณ์ โดยระบุทั้งพื้นที่ที่พายุจะพัดขึ้นฝั่ง ช่วงเวลา และความรุนแรงของพายุไปยังทุกประเทศที่อยู่ในแนวลมพายุพาดผ่าน ทั้งบังกลาเทศ พม่า ไทย ศรีลังกา มัลดีฟส์ โอมาน และปากีสถาน ล่วงหน้าถึง 48 ชั่วโมง...แต่คงไม่สามารถกระจายข่าวได้ทันการณ์ จึงเกิดผลประการฉะนี้...
...สรุปตัวเลขผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการจากพายุไซโคลนนาร์กีสในพม่าอยู่ที่ 23,000 คน และอีก 42,000 คนยังคงสูญหาย และทางสหประชาชาติวิงวอนขอเงินบริจาค 187 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากนานาชาติเพื่อช่วยเหลือชาวพม่า 1.5 ล้านคน เพื่อให้มีที่อยู่อาศัยชั่วคราวในช่วง 6 เดือนนับจากนี้...ส่วนไทยในฐานะเพื่อนบ้านรั้วติดกันก็พยายามที่จะช่วยเหลือ...แต่เจ้าบ้านจะเปิดรับความช่วยเหลือขนาดไหนก็ต้องลุ้นกันต่อไป ∞
∞ กลับมาในบ้านเรา...แม้ว่าจะเผชิญกับปัญหาข้าวยากหมากแพง แต่ผลเสี่ยงทายของพระโคปีนี้ที่ว่าน้ำท่าจะมากมีพอดี ข้าวกล้าในนาให้ผลบริบูรณ์ ธัญญาหาร ผลาหารจะบริบูรณ์ดี จะทำให้คนไทยจะไม่ต้องกินข้าวแพงอีกต่อไป และชาวนาไทยก็จะได้ลืมตาอ้าปากกับเค้าเสียทีนะเจ้าคะ ∞
∞ วิกฤติข้าวแพงในปีนี้อาจแปรเปลี่ยนข้าวให้มีค่าดั่งทองคำได้ไม่ยาก และจะยิ่งทวีมูลค่ามากขึ้นไปอีกเมื่อใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้าไปเสริม ใครมีไอเดียเจ๋ง ผลงานแจ๋วที่ต่อยอดมาจากข้าวไทย มูลนิธิข้าวไทยเขากำลังรออยู่นะคะ นอกจากจะได้โชว์ผลงานสุดเดิ้นแล้วอาจจะได้ "รางวัลนวัตกรรมข้าวไทย" ไปเป็นกำลังใจอีกด้วยนะเจ้าค้า...อะฮ้า! อย่าลืมว่าต้องมาจาก "ข้าวไทย" แท้ๆ นะเจ้าคะ ส่วน "ข้าวจีเอ็มโอ" หมดสิทธิ์ ∞
∞ ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมาบรรดา "นักดาราศาสตร์" จาก 25 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้มารวมตัวกันที่ "เมืองไข่มุกแห่งอันดามัน" เพื่อประชุมวิชาการว่าด้วยเรื่อง "ดาวฤกษ์" โดยเฉพาะ งานนี้ยังมีงบสนับสนุนให้เยาวชนและนักวิจัยจากประเทศโลกที่ 3 ได้มีโอกาสมาร่วมเสนอผลงานเกี่ยวกับดวงดาวกับเขาบ้าง ที่สำคัญมีตัวแทนเยาวชนจาก "เกาหลีเหนือ" เข้าร่วมในงานนี้ด้วย แต่น่าเสียที่กระจอกข่าวแห่ง "ผู้จัดการวิทยาศาสตร์" ไม่สามารถนำเรื่องราวเด็กๆ จากแดน "โสมแดง" มานำเสนอได้ ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าหนูๆ เขา "อาย" ∞
∞ ส่วนใครที่ลุ้นอยู่ว่า "หอดูดาวแห่งชาติ" ที่ตั้งตารอคอยมานั้นจะได้ฮวงจุ้ยใหม่เป็นที่ไหน หรือจะยังยืนกรานที่จะใช้พื้นที่บนยอดดอยอินทนนท์อันมีธรรมชาติเฉพาะตัวที่เปราะบางและยังอ่อนไหวต่ออารมณ์ความรู้สึกของนักอนุรักษ์แล้วล่ะก็ ฟังข่าวนี้อาจจยินดีเพราะผู้บริหารระดับสูงของสถาบันดาราศาสตร์ออกมายืนยันแล้วว่ากำลังขอให้พื้นที่ดำเนินการของ "ทีโอที" ซึ่งอยู่ต่ำลงมาหน่อยและก็ไม่ต่ำจนกล้องดูดาวที่อุตส่าห์สั่งซื้อมาจากอเมริกาจะใช้งานไม่ได้...
...ถอยออกมาอย่างนี้ก็ดีแล้วเจ้าค่าเพราะถึงแม้พื้นที่กำหนดตอกเสาเข็มหอดูดาวจะใช้พื้นที่ไม่กี่ตารางเมตร แต่ "หนูไซน์ฯ" ก็ได้ยินมาว่าพื้นที่บริเวณเล็กๆ นั้นมีนกนานาชนิดและอยู่ประจำถิ่นบินกันอย่างขวักไขว่ ประเมินด้วยสายตาน่าครึ่งร้อย บางคนก็เผยว่าเคยเห็นนกบินมาเกาะต้นไม้ (ตำแหน่งเดียวกับที่จะตั้งหอดูดาวพอดิบพอดี) โดยไม่ตื่นกลัวผู้คนนับสิบๆ ตัว ธรรมชาติสวยงามอย่างนี้ช่วยกันรักษาไว้เถอะเจ้าค่ะ ∞
∞ เอ! ไม่รู้ว่า "ทั่นวุฒิพงศ์" จะกลับไปทบทวนเรื่องสั่งซื้อ "เครื่องกลั่นน้ำมันจากไม้" ของพี่ยุ่นรึเปล่า ก็นักวิจัย JGSEE เขากระซิบมาว่า เจ้าเครื่องนั่นหาใช่เทคโนโลยีใหม่อย่างที่เข้าใจไม่ ทว่ามีมาตั้งแต่สมัยนาซีเรืองอำนาจโน่น แถมยังไม่ได้คุ้มค่าและยังเปลืองวัตถุดิบอีกต่างหาก จะว่าไปเทคโนโลยีที่น่าสนใจกว่ายังมีอีกเยอะ "นักวิจัย" เค้าก็เลยอยากฝากกระซิบให้ "ทั่น" พิจารณาใหม่ให้ดีนะเจ้าค้า เผื่อจะได้ไม่เสียรู้และเสียตังค์โดยใช่เหตุไงเจ้าคะ ∞
∞ อุตส่าห์พา "ทูตไบเออร์" ไปดำนาปลูกข้าวแบบวิถีเกษตรอินทรีย์กันถึง "บ้านควาย" เมืองขุนช้าง แต่พอเยาวชนกลับจากกิจกรรมกลางแดดเปรี้ยงๆ ผู้หลัก-ผู้ใหญ่ก็ให้ข้อมูลกรอกหูเด็กๆ ว่า "ถึงอย่างไรทำเกษตรก็ต้องพึ่งสารเคมี" พร้อมยกชาร์ตและตัวเลขข้อมูลการระบาดของศัตรูพืชออกมาโชว์ให้ชวนขนหัวลุก แหม...อย่างนี้เขาเรียกว่าจริงใจหรือเปล่าเนี่ย ∞
∞ ใครรู้ตัวว่ากินเก่งฟังข่าวนี้แล้วอาจจะรู้จักตัวเองมากขึ้น เมื่อนักวิทยาศาสตร์แห่งสถาบันโภชนาการของแคนาดาเขาค้นพบว่า "ฮอร์โมนเกรลิน" ที่ทราบกันมานานแล้วว่าเป็นต้นเหตุของความหิวนั้น ยังมีส่วนช่วยกระตุ้นสมองให้รู้สึกว่าอาหารน่ากินขึ้นอีกด้วย อันเป็นเหตุให้คนที่ได้รับฮอร์โมนนี้ในปริมาณมาก "กินจุขึ้น" สงสัย "ไซน์กระซิบ" เองก็คงหลั่งฮอร์โมนที่ว่านี้ตลอดทั้งวันแน่เลยถึงกินได้ทั้งวัน ∞
∞ เฉลยออกมาแล้วกับ "100 ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของโลก" ที่จัดอันดับเป็นปีที่ 5 โดยนิตยสารไทม์ ที่ปีนี้มี "นักวิทย์-นักคิด" ติดโผถึง 19 อันดับ ที่น่าจับตามองเป็นพิเศษก็คือ หนุ่มน้อยหน้าอย่าง "มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก" ที่ปีนี้มาแรงสุดๆ ก็เจ้าหนูเพิ่งติดอันดับเศรษฐีอายุน้อยที่สุดในโลกไปหยกๆ ...
...ส่วน 2 หนุ่ม (เหลือ) น้อย อย่างลุง "เครก เวนเทอร์" และป๋า "พอล อัลเลน" ก็ประมาทไม่ได้เช่นกัน เพราะลุงแกกลายเป็นขาประจำของ "TIME 100" ไปซะแล้ว ที่เข้าวินติดอันดับผู้ทรงอิทธิพล 2 ปีซ้อน...และถ้าไม่ติดว่าเป็นนิตยสารมะกัน "หนูไซน์" และแฟนๆ คงได้เห็นผู้ทรงอิทธิพลมากมายหลายชาติกว่านี้แน่ แล้วอย่างนี้นักวิทย์ไทยจะมีลุ้นติดอันดับกับเค้าบ้างมั้ยเนี่ย... ∞
∞ ไม่ทิ้งมาดฮากวนๆ จนเป็นโลโก้ประจำตัวแล้ว พ่อหนุ่ม "สมรักษ์ คำสิงห์" ฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิกขวัญใจชาวไทยก็มาร่วมงานแถลงข่าวการจัดงานมหกรรมวิทยาศาสตร์การกีฬา 51 ด้วยอาการหอบแฮ่กๆ จน "อรอุมา เกษตรพืชผล" พิธีกรต้องถามไถ่จนได้ความว่าที่เหงื่อโทรมกายมาขนาดนี้ก็เพราะพ่อหนุ่มบาสที่มี "ร.อ." นำหน้าชื่อ ต้องลาผู้บังคับบัญชาแล้วรีบแจ้นซ้อนมอ'ไซค์รับจ้างมาร่วมงานแถลงแทบไม่ทัน...
...แต่ก็อย่าห่วงว่าหนุ่มไม่ได้โม้รายนี้จะหมดแรงซะตั้งแต่งานยังไม่เริ่ม เพราะพอถึงคิว พี่ท่านก็เล่นปล่อยมุกฮากระจาย แถมยังเล่าวีรกรรมสุดเฮี้ยวมากระตุกต่อมฮาเป็นระยะๆ จนงานแถลงข่าวแทบเปลี่ยนเป็นงานสังสรรค์ เล่าเรื่องตัวเองยังไม่พอ แถมไปเหน็บ "น้องตุ้ม" นักมวยสาวประเภทสองด้วยความเอ็นดู "นี่นอกจากวิทยาศาสตร์มาช่วยด้านกีฬ่าได้แล้ว ยังช่วยน้องตุ้มด้วย ไม่งั้นตอนนี้ยังเป็นนายอยู่เลย" แหมพี่ขา แซวกันอย่างนี้ถ้าไม่รักกันจริงมีหวังโกรธกันตายเลย จริงมั้ยคะน้องตุ้ม ∞
∞ อ๊ะ! เกือบลืมเสียสนิท...ค่ำคืนนี้จะมีปรากฏการณ์ "ดวงจันทร์บังดาวอังคาร" ที่หาชมได้ยากยิ่ง ที่สำคัญคือมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าและชมกันได้ทั่วทั้งประเทศไทยเลยทีเดียว แต่ผู้อ่านบางท่านก็อดสงสัยไม่ได้ "แล้วจะไปดูอะไรครับ ก็พระจันทร์มันบังซะแล้ว" ฮั่นแน่...ถ้าอยากรู้จริงๆ หนูไซน์ก็ขอแนะนำว่าต้องติดตามชมด้วยตัวเองจะได้หายข้องใจยังไงล่ะเจ้าคะ...
...ผู้สนใจก็เริ่มสังเกตปรากฏการณ์กันได้ตั้งแต่ประมาณ 21.00 น.เป็นต้นไป ทางขอบฟ้าด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ที่มุมเงย 23 องศา จะเห็นดาวอังคารเป็นจุดสีส้มแดงอ่อนๆ เหนือด้านมืดของดวงจันทร์ และด้านมืดของดวงจันทร์จะค่อยๆ เคลื่อนขึ้นไปสัมผัสกับขอบนอกของดาวอังคารและบดบังจนมิดอยู่ราว 1 ชั่วโมง ก่อนดาวอังคารจะเผยโฉมอีกครั้ง (แต่อาจมองไม่เห็น) ทางด้านสว่างของดวงจันทร์ในเวลา 22.42 น. ...
... ง่ายๆ ว่า "ดวงจันทร์อยู่ตรงไหน" ก็ให้มองไปที่นั่น...ใครได้ชมได้เห็นแล้วเป็นอย่างไรบ้างก็อย่าลืมมากระซิบให้หนูไซน์ฟังบ้างนะคะ ส่วนหนูไซน์ลาไปงีบก่อนดีกว่า คืนนี้จะได้ตื่นมาตาสว่าง พร้อมเพ่ง "จันทร์บังอังคาร" และถ้าใครมีเรื่องเม้าท์ก็สามารถเมล์มาได้ที่ scigossip@gmail.com เช่นเคยจ้า ∞