xs
xsm
sm
md
lg

แพทย์ชี้ผู้ป่วยมะเร็งปอดกว่า 70% ถูกพบตอนโรคลุกลาม–ดัน AI ช่วยคัดกรองเร็ว เพิ่มโอกาสรักษาหายสูงถึง 90% สู่คุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



แพทย์เตือน “มะเร็งปอด” ยังคร่าชีวิตคนไทยสูง พบกว่า 70% รู้ตัวเมื่อสายเกินรักษา ชี้ PM 2.5 ตัวเร่งสำคัญในผู้ไม่สูบบุหรี่ ด้านโรงพยาบาลพญาไท 1 เดินหน้าคัดกรองเชิงรุก ผนึกเทคโนโลยี AI–LDCT เพิ่มความแม่นยำ ช่วยตรวจพบเร็วและดันโอกาสหายขาดสูงถึง 90%

เมื่อวันที่ 17 พ.ย. โรงพยาบาลพญาไท 1 ตระหนักถึงความรุนแรงของ "โรคมะเร็งปอด" ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนไทย ด้วยสถิติผู้ป่วยใหม่กว่า 23,000 รายต่อปี และผู้เสียชีวิตเฉลี่ย 40 รายต่อวัน ซึ่งเป็นผลพวงจากปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน โดยเฉพาะ ฝุ่น PM 2.5 ที่องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้เป็น สารก่อมะเร็งกลุ่มที่ 1 เนื่องจากอนุภาคขนาดเล็กเหล่านี้สามารถแทรกซึมถึงถุงลมในปอด ก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและกระตุ้นการกลายพันธุ์ของเซลล์ปอด ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่เร่งให้เกิดมะเร็งในกลุ่มผู้ไม่สูบบุหรี่ ร่วมกับปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น การสูบบุหรี่ ประวัติครอบครัว การสัมผัสสารเคมีอันตราย และโรคปอดเรื้อรัง
 
เพื่อรับมือวิกฤตสุขภาพนี้ โรงพยาบาลพญาไท 1 จึงจัดงานเสวนา "Stop Lung Cancer, Start Early Screening” โดยได้รับการสนับสนุนจาก จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เมดเทค (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมชูความก้าวหน้าในการนำเทคโนโลยี "Inspectra CXR" ซึ่งเป็นปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้อ่านภาพเอกซเรย์ทรวงอกร่วมกับแพทย์ พร้อมทั้งมีโปรแกรมการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดเชิงลึกด้วย Low-dose CT Scan (LDCT) ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งทำให้การตรวจคัดกรองมะเร็งปอดได้อย่างแม่นยำและละเอียดมากขึ้น ซึ่งการวินิจฉัยที่รวดเร็วนี้ จะทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษา เช่น การผ่าตัดส่องกล้อง ตั้งแต่ระยะแรกๆ และมีโอกาสหายขาดจากโรคมะเร็งได้สูงถึง 90%
 
วิกฤตภัยเงียบ: มะเร็งปอดระยะเริ่มต้นที่ไม่มีอาการและการคัดกรองเชิงรุก
พญ. ประพินทุ์ภา จงกิตติพงศ์ อายุรแพทย์โรคระบบการหายใจและภาวะวิกฤตโรคระบบการหายใจ โรงพยาบาลพญาไท 1 ได้ให้ความรู้ในหัวข้อ “ไขข้อข้องใจโรคมะเร็งปอด” โดยเน้นย้ำถึงกลุ่มเสี่ยงและเหตุผลที่การตรวจคัดกรองมีความสำคัญว่า “มะเร็งปอดถือเป็นภัยเงียบ ซึ่งปัจจุบันมีฝุ่น PM 2.5 เป็นตัวเร่ง ทำให้ผู้ป่วยในกลุ่มที่ไม่สูบบุหรี่เพิ่มขึ้นชัดเจน ที่น่ากังวลคือ ในระยะที่ 1 และ 2 ผู้ป่วยมักไม่มีอาการแสดงใดๆ บ่งชี้ เมื่อใดก็ตามที่เริ่มมีอาการไอเรื้อรัง หรือมีอาการเจ็บปวด มักหมายความว่าโรคเข้าสู่ระยะลุกลามแล้ว สถิติที่น่าตกใจคือ มากกว่า 70% ของผู้ป่วยถูกตรวจพบในระยะลุกลาม (Advanced Stages) ดังนั้น การตรวจคัดกรองจึงเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดเพื่อค้นพบโรคตั้งแต่ในระยะที่ยังไม่แสดงอาการ และเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยพลิกโอกาสจากความเสี่ยงให้เป็นโอกาสหายขาดได้”
 
ยกระดับการคัดกรอง: "Inspectra CXR" นวัตกรรมเสริมประสิทธิภาพการวินิจฉัย
โรงพยาบาลพญาไท 1 ได้ยกระดับการวินิจฉัยด้วยการนำ Inspectra CXR เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับการคัดกรองความผิดปกติจากภาพเอกซเรย์ปอดของบริษัท เพอเซ็ปทรา จำกัด เข้ามาช่วยวิเคราะห์ภาพถ่ายเอกซเรย์ปอดในการตรวจสุขภาพทั่วไป เพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหาความผิดปกติในระยะเริ่มต้น ให้มีโอกาสตรวจพบโรคตั้งแต่แรกเริ่มและเพิ่มโอกาสในการรักษาหาย
 
คุณสุพิชญา พู่พิสุทธิ์ ผู้บริหารบริษัท เพอเซ็ปทรา จำกัด กล่าวเสริมถึงบทบาทของ AI ว่า อินสเป็คทรา ซีเอ็กซ์อาร์ (Inspectra CXR) ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการพบรอยโรคล่าช้า โดยมีเป้าหมายให้ทุกคนได้รับการวินิจฉัยที่ดีอย่างเท่าเทียมกันโดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในการช่วยปิดช่องว่างของข้อจำกัดต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น ความขาดแคลนบุคลากร ข้อจำกัดของสายตามนุษย์ หรือข้อจำกัดเวลาในการอ่านภาพจำนวนมาก เพื่อส่งเสริมให้การตรวจคัดกรองมะเร็งปอดมีประสิทธิภาพและความแม่นยำสูงขึ้นในทุกสถานพยาบาล
 
ระบบอินสเป็คทรา ซีเอ็กซ์อาร์ ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือแพทย์ในการตรวจจับความผิดปกติอย่างละเอียดและแม่นยำ ระบบได้รับการฝึกฝนด้วยภาพเอกซเรย์คุณภาพสูงกว่า 1.9 ล้านภาพ โดยมีภาพจากประชากรเอเชียถึง 60% ทำให้ AI สามารถเรียนรู้และจดจำลักษณะทางกายวิภาคและรูปแบบรอยโรคที่เฉพาะเจาะจงของคนเอเชียได้อย่างแม่นยำ เรียกได้ว่าเป็น AI ที่เข้าใจร่างกายคนเอเชีย โดยระบบปัญญาประดิษฐ์ทำงานโดยการสแกนและวิเคราะห์ภาพในระดับพิกเซล ช่วยเพิ่มโอกาสในการตรวจพบรอยโรคขนาดเล็กหรือก้อนที่อาจมองไม่เห็นชัดด้วยสายตามนุษย์ ลดความเสี่ยงในการมองพลาดความผิดปกติที่สำคัญ และช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น
 
ปัจจุบันอินสเป็คทรา ซีเอ็กซ์อาร์ ได้รับการบรรจุอยู่ในสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ในโรงพยาบาลรัฐจำนวน 167 แห่งในปี 2568 เพื่อช่วยให้แพทย์ในพื้นที่สามารถอ่านภาพเอกซเรย์เบื้องต้นได้แม่นยำขึ้น ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลจึงมีโอกาสเข้าถึงการวินิจฉัยที่รวดเร็วและมีคุณภาพในระดับใกล้เคียงกับผู้ป่วยในเมืองใหญ่ และทำให้การรักษาสามารถเริ่มต้นได้เร็วขึ้น ซึ่งในบางกรณีอาจหมายถึงการรักษาชีวิตไว้ได้ทันเวลา
 
การตรวจพบเร็ว รักษาเร็ว ด้วยเทคโนโลยีก้าวหน้า: ทางออกสู่การหายขาดสูงถึง 90%
รศ. นพ. ศิระ เลาหทัย ศัลยแพทย์ทรวงอก ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดส่องกล้องปอดและต่อมไทมัส โรงพยาบาลพญาไท 1 กล่าวในหัวข้อ “ประสิทธิภาพการรักษามะเร็งปอดด้วยการผ่าตัด” โดยเน้นย้ำถึงบทบาทของเทคโนโลยีการผ่าตัดส่องกล้องว่า “หากเราตรวจพบความผิดปกติในระยะเริ่มต้นได้เร็ว ด้วยการวินิจฉัยที่แม่นยำอย่าง AI และ LDCT ทำให้มีทางเลือกในการรักษาที่มีประสิทธิภาพ เช่น การผ่าตัดส่องกล้องแบบบาดเจ็บน้อย (MIS - Minimally Invasive Surgery) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและมีบทบาทสำคัญในปัจจุบัน ศัลยแพทย์สามารถตัดก้อนมะเร็งออกไปได้อย่างสมบูรณ์ผ่านแผลขนาดเล็กเพียง 2-3 จุด ซึ่งจะช่วยลดความเจ็บปวดหลังการผ่าตัดได้มาก ลดการเสียเลือด และช่วยให้ปอดกลับมาทำงานได้เร็วขึ้น ทำให้ผู้ป่วยมีความบอบช้ำน้อย ฟื้นตัวเร็วขึ้น ที่สำคัญ อัตราการหายขาดจากโรคมะเร็งปอดระยะแรกหลังจากการผ่าตัดสูงถึง 90% ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่มีความพึงพอใจสูง สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่การรักษาโรคเท่านั้น แต่หัวใจสำคัญคือ การทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน”
 
การเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยมะเร็งปอด ถือเป็นวาระเร่งด่วนที่ต้องให้ความสำคัญ การวินิจฉัยที่เร็วขึ้นจะช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพและเพิ่มโอกาสหายขาดจากโรคได้สูงถึง 90% โดยความก้าวหน้าทางการแพทย์มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยน "ภัยเงียบ" ให้เป็นโอกาสใหม่แห่งการมีคุณภาพชีวิตที่ดีและยั่งยืนสำหรับประชาชนทุกคน 


ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีวินิจฉัยและมะเร็งปอด เปิดเผยถึงพัฒนาการของเทคโนโลยี AI ทางการแพทย์ โดยระบุว่า ปัจจุบันระบบ AI ถูกพัฒนาให้แม่นยำยิ่งขึ้นจากฐานข้อมูลภาพเอกซเรย์กว่า 1.9 ล้านภาพ ซึ่งกว่า 40% เป็นข้อมูลของคนไทย พร้อมการตรวจทานและให้ข้อมูลกำกับ (Label) โดยรังสีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทำให้ AI สามารถตรวจจับรอยโรค เช่น วัณโรคและมะเร็งปอดได้ไวและแม่นยำกว่าเดิม ช่วยแพทย์ลดโอกาสพลาดการมองเห็นจุดผิดปกติจากภาพจำนวนมากในแต่ละวัน

ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า “มะเร็งปอด” ยังเป็นปัญหาใหญ่ในไทย โดยกว่า 70% ของผู้ป่วย ถูกพบในระยะ 4 เนื่องจากประชาชนยัง “กลัวการตรวจ” และ “ขาดความรู้” แม้หลายคนไม่สูบบุหรี่ ไม่อยู่ในพื้นที่มลพิษสูง ก็ยังมีโอกาสป่วยได้จากปัจจัยแวดล้อมและพันธุกรรม สะท้อนปัญหาการเข้าถึงการคัดกรองที่ยังไม่เข้มแข็ง ต่างจากบางประเทศที่สัดส่วนการพบมะเร็งปอดระยะต้นเพิ่มสูงขึ้นหลังรณรงค์คัดกรองอย่างจริงจัง

ด้านรังสีแพทย์เผยว่า ภาพจำเรื่อง “เจอแล้วรักษาไม่ได้” ไม่เป็นความจริงในยุคปัจจุบัน เพราะเทคโนโลยีรักษาพัฒนาไปมาก ทั้งการผ่าตัดแบบแผลเล็ก การควบคุมอาการปวด เทคนิคการใช้ยาแบบใหม่ รวมถึงยามุ่งเป้า (Targeted therapy) ทำให้ผู้ป่วยแม้อยู่ในระยะ 3–4 ก็ยังมีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ไปร่วมงานครอบครัว หรือกลับไปทำงานได้

แพทย์ยังระบุว่า ไม่มีวัคซีนสำหรับป้องกัน “มะเร็งปอด” โดยตรง วัคซีนที่มีอยู่จะช่วยป้องกันโรคติดเชื้อ เช่น ไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ รวมถึงวัคซีนไวรัสตับอักเสบและ HPV ที่ป้องกันมะเร็งชนิดอื่น ส่วนมะเร็งปอดจำเป็นต้องป้องกันด้วยการลดปัจจัยเสี่ยงและตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ

ทั้งนี้ แนวโน้มผู้ป่วยที่เข้ารับการตรวจคัดกรองเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าอัตราการ “พบความผิดปกติระยะเริ่มต้น” เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า จากการที่ประชาชนเริ่มตระหนักและมีเครื่องมือ AI ช่วยตรวจจับ ทำให้มีโอกาสรักษาได้ทันท่วงทีมากกว่าเดิม

แพทย์ย้ำว่า “อายุไม่ใช่ปัจจัยตัดสินความรุนแรงของโรค” แต่ขึ้นอยู่กับว่าเจอเร็วแค่ไหน พร้อมระบุว่าความรู้ ความเข้าใจ และการเปลี่ยนภาพจำเดิม ๆ คือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้คนไทยกล้าเข้ารับการตรวจมากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิตและรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว































กำลังโหลดความคิดเห็น