หมอชี้ "บุหรี่" ยังเป็นต้นตอ "มะเร็งปอด" ในคนไทย พบผู้ป่วยรายใหม่ 2 หมื่นรายต่อปี ตาย 1.5 หมื่นราย ห่วงพบในคนอายุน้อยลง เหตุมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ทั้งบุหรี่ไฟฟ้า รับควันบุหรี่มือสองเสี่ยงกว่าคนสูบโดยตรง 9 เท่า รวมถึงฝุ่น PM 2.5 และมลภาวะ พบเกินครึ่งมารักษาช่วงระยะลุกลาม ทำรักษายาก โอกาสรอดชีวิตน้อย เครือข่ายผู้ป่วยเรียกร้องเพิ่มการเข้าถึงยารักษาที่มีคุณภาพ เท่าเทียม และคัดกรองพบผู้ป่วยตั้งแต่ระยะแรก ช่วยลดอัตราตายลง 20%
เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2568 ที่ลาน SCBX Next Tech สยามพารากอน สถานเอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทย กัมพูชา และลาว ร่วมกับรังสีวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย สมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมศัลยแพทย์ทรวงอกแห่งประเทศไทย มะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย จัดงานเนื่องในวันงดสูบบุหรี่โลก ประจำปี 2568 World No Tobacco Day: We Want No Lung Cancer "สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับอันตรายของการสูบบุหรี่และรวมพลัง เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงนวัตกรรมการรักษา: สร้างโอกาสหายสำหรับผู้ป่วยมะเร็งปอด" โดยมี นายเปโตร สวาห์เลน เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิส ประจำประเทศไทย กัมพูชา และลาว เป็นประธานเปิดงาน
ทั้งนี้ ภายในงานมีการเสวนา หัวข้อ “รู้เร็ว รักษาไว: สร้างโอกาสหายสำหรับผู้ป่วยมะเร็งปอด” โดย ศ.ดร.นพ.วิโรจน์ ศรีอุฬารพงศ์ มะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย และประธานคณะทำงานมะเร็งปอดเพื่อสังคมไทย กล่าวว่า มะเร็งปอดเป็นโรคที่สำคัญ จากข้อมูลของสถาบันมะเร็งแห่งชาติมีผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 2 หมื่นรายต่อปี เสียชีวิต 1.5 หมื่นราย นับเป็นโรคที่อันตรายและรักษายาก สาเหตุสำคัญเกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ รวมถึงการรับควันบุหรี่มือสอง บุหรี่ไฟฟ้าที่กำลังเข้าถึงเยาวชนอย่างมาก สิ่งสำคัญคืออยากเชิญชวนทุกคน ทั้งภาครัฐและเอกชนให้มีส่วนร่วมในการทำให้สามารถตรวจพบโรคมะเร็งปอดระยะเริ่มต้นได้ไว เพื่อรักษาได้ทัน และให้ผู้ป่วยได้ใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพ ซึ่งปัจจุบันมีการคัดกรองด้วย Low Dose CTScan ยังต้องเน้นคัดกรองในกลุ่มคนที่มีความเสี่ยง ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการพบเจอมากขึ้นและเจอระยะเริ่มต้นมากขึ้น และมีโอกาสช่วยให้หายขาดมากขึ้น
ขณะที่การรักษาก็มีวิวัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการผ่าตัดที่ใช้เทคโนโลยีส่องกล้อง ช่วยฟื้นตัวเร็ว เสียเนื้อปอดน้อยลง ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับการผ่าตัดแบบเปิดทรวงอก การฉายรังสีมีความแม่นยำขึ้น ประสิทธิภาพสูงเท่ากัน แต่ผลข้างเคียงน้อยลง ส่วนยามีความก้าวหน้ามากที่สุด ที่สามารถลงลึกระดับยีน ซึ่งปัจจุบันคนไข้มะเร็งปอด 60-70% มียีนผิดปกติในเนื้อมะเร็ง ก็มีโอกาสที่จะใช้ยามุ่งเป้าได้ ซึ่งในแถบเอเชียจะเจอยีนผิดปกตินี้ 40-50%
รศ.นพ.สมเจริญ แซ่เต็ง สมาคมศัลยแพทย์ทรวงอกแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ที่บอกว่าสูบหรือไม่สุบบุหรี่ก็เกิดมะเร็งปอดได้เหมือนกันนั้น ข้อเท็จจริงคือ การเกิดมะเร็งปอดมาจากการรับฝุ่น ควัน สารเคมีต่างๆ ไม่ว่าจะมาจากบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า หรือฝุ่น PM 2.5 ซึ่งมลภาวะเหล่านี้ก็ให้เกิดกระบวนการอักเสบ ยิ่งอักเสบเรื้อรังเซลล์ก็จะเปลี่ยนเป็นเซลล์มะเร็ง โดยคนสูบบุหรี่ 100 คน มีโอกาสเป็นมะเร็งปอด 20 คน หรือควันบุหรี่มือสอง คนรับอันตรายมากกว่าคนสูบโดยตรงถึง 9 เท่า สังคมเรามีปาร์ตี้กลางคืนต่างๆ ที่มีควันบุหรี่ทั้งนั้น จึงเห็นเด็กสาวๆ หนุ่มๆ พบมะเร็งในอายุน้อยเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ สังคมมีการเผาสิ่งต่างๆ ฝุ่นควันที่เกิดขึ้นไม่ได้กระทบแค่บ้านคนเผา แต่กระทบผู้คนในสังคมด้วน อย่างภาคเหนือก็ต้องพยายามรณรงค์งดเผา เป็นหน้าที่ของรัฐที่ต้องเข้ามาช่วยไม่ให้ปัญหาเหล่านี้เยอะขึ้น ส่วนบุหรี่ไฟฟ้าที่อ้างไม่มีการเผาไหม้ ก็ยังทำให้ร่างกายเกิดการอักเสบของเซลล์ ไม่ใช่ปลอดจากนิโคตินแล้วจะไม่เป็นมะเร็งปอด
"การตรวจเจอมะเร็งปอดระยะเริ่มต้นมีโอกาสหายขาด จากข้อมูลของโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ พบว่า อัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี ของมะเร็งปอดระยะที่ 1 สูงมาก เกิน 90% ทำให้ไม่ต้องรักษายาวนานและประหยัดค่าใช้จ่ายกว่า สามารถเก็บปอดไว้ได้เยอะ ซึ่งเมื่อก่อนการผ่าตัดจากเดิมที่ต้องตัด 1 กลีบใหญ่ๆ ทิ้ง แต่เทคโนโลยีก็พัฒนาขึ้น สามารถตัดกลีบปอดเล็กลงได้ ซึ่งปอดจะไม่งอกใหม่ แต่สามารถยืดได้ โดยหลังผ่าตัด 1 เดือน สมรรถภาพของปอดก็กลับคืนมา 80-90% แต่ต้องฝึกตามที่ทีมแพทย์แนะนำ" รศ.นพ.สมเจริญกล่าว
ร.อ.นพ.สมชาย ธนะสิทธิชัย ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า ประเทศไทยเจอผู้ป่วยมะเร็งปอดเพิ่มขึ้น เนื่องจากประชากรเราเพิ่มขึ้น มีการตรวจพบมากขึ้น แต่ภาพรวมอัตราการป่วยยังไม่ได้เพิ่มขึ้น สำหรับการคัดกรองมะเร็งปอดเป็นเรื่องที่ดี จะทำให้พบโรคได้เร็ว รักษาได้ไว แต่ไม่ใช่ว่าจะต้องตรวจคัดกรองทุกคน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างทำ Pilot Project ศึกษาแนวทางการคัดกรองมะเร็งปอดในพื้นที่ภาคเหนือ ด้วยการใช้ภาพเอกซเรย์จากฐานข้อมูลของโรงพยาบาลแล้วให้ AI อ่าน ซึ่งอยู่ระหว่างการต่อรองราคา คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 3-4 ปีจึงทราบว่าแนวทางหรือเกิดไกด์ไลน์ที่ชัดเจนในการคัดกรองมะเร็งปอดว่าควรเป็นอย่างไร เพื่อวางระบบสำหรับประเทศไทย เพราะไม่ใช่ทุกคนที่คัดกรองแล้วจะพบว่าเป้นมะเร็งปอด แต่ยังพบเจอโรคอื่นๆ ด้วย
รศ.นพ.วิวัฒนา ถนอมเกียรติ นายกรังสีวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ผู้ป่วยมะเร็งปอดเกินครึ่งที่มารับการรักษาจะเป็นระยะที่ 4 คือลุกลามไปยังอวัยวะอื่นแล้ว โอกาสรอดชีวิตน้อยมาก มีชีวิตอยู่ประมาณ 2-5 ปี สาเหตุที่พบระยะแรกน้อยเพราะไม่มีอาการ ส่วนการคัดกรองด้วย Low Dose CT Scan ยังมีอุปสรรคในการที่จะกำหนดให้เป็นสิทธิประโยชน์ในหลักประกันสุขภาพ เพราะการคัดกรอง 1 พันคน จะเจอจุดได้ 200 คน จำนวนนี้เป็นมะเร็งประมาณ 1 คน ซึ่งอีก 199 คนที่เหลือเรียกว่าผลบวกปลอม จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าไม่เป็นมะเร็ง จึงต้องมีการติดตามฟอลโลว์อัป ตัดชิ้นเนื้อ ทำให้มีงานส่วนหนึ่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการค้นหามะเร็งเพิ่มขึ้นมา เรียกว่าเจ็บฟรี เสียค่าใช้จ่ายฟรี เจ้าหน้าที่ก้ทำงานฟรี จึงต้องพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสม
รศ.ดร.นพ.ศรายุทธ ลูเวียน กีเตอร์ สมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การตรวจร่างกายประจำปี โดยการใช้เอกซเรย์กว่าเจอมะเร็งปอดขนาด 1 เซนติเมตร เท่ากับว่าเราปล่อยให้มีเซลล์มะเร็งอยู่ในร่างกายมานับสิบปี เพราะว่าที่เซลล์มะเร็ง 1 เซลล์จะพัฒนาจนโตมาถึง 1 เซนติเมตรต้องเปลี่ยนเป็นเซลล์มะเร็งกว่าพันล้านเซลล์ ใช้เวลาเป็นสิบปี สิ่งที่เราต้องการคืออยากตรวจจับตั้งแต่ 1-2 ปีที่เซลล์ตัวแรกเป็นมะเร็ง ซึ่งมีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า การใช้ Low Dose CT Scan คัดกรองพบมะเร็งปอดระยะแรกจะช่วยลดอัตราเสียชีวิตร้อยละ 20 สำหรับยารักษามะเร็งปอดระยะลุกลาม มีจำนวนยาที่ควรใช้ได้ระดับโลก 34 ตัว อย.รับรองแล้วในไทย 30 ตัว แต่เข้าสู่ระบบเบิกจ่ายในหลักประกันสุขภาพฯ 9 ตัว ส่วนยาในระยะเริ่มต้นระดับโลกมี 11 ตัว อย.รับรองให้ใช้ในไทย 10 ตัว เข้าสู่การเบิกจ่าย 9 ตัว ก็ถือว่าไทยเข้าถึงยาได้เกือบทั้งหมด
ด้าน นพ.จักรกริช โง้วศิริ ผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การบรรจุสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับมะเร็งปอด อาจจะต้องมองเชิงระบบ เพราะหากจะเอาแบบ The Best ก็จะเกิดค่าใช้จ่ายอย่างมหาศาล ซึ่ง สปสช.พยายามหาจุดสมดุลและความเหมาะสมให้เกิดความคุ้มค่าต่องบประมาณ และเกิดประโยชน์ที่คนส่วนใหญ่เข้าถึงได้ โดยเรากำลังศึกษาเรื่อง Low Dose CT Scan ซึ่งต้องมีหลักฐานเชิงประจักษ์พอสมควรเพื่อขออนุมัติงบแผ่นดิน ที่ผ่านมายังมีการให้สิทธิประโยชน์เรื่องโทรสายด่วนเลิกบุหรี่ ซึ่ง 6 เดือนมีคนโทร 7-8 พันราย ถือว่าน้อยมาก ทั้งที่มีศักยภาพรองรับปีละ 2 หมื่นกว่าราย มีคนเลิกบุหรี่ได้ 700 กว่าราย
ขณะที่ ดร.พญ.ประกายทิพ สุศิลปรัตน์ รองประธานมูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง บอกเล่าเรื่องราวของคุณนก น.ส.ศุภากร กัลยาณสุต ผู้ป่วยมะเร็งปอด ว่าผู้ป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 4 รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดมาประมาณ 9-10 ปี ถือว่ายาวนานมาก แม่ของตนก็ป่วยมะเร็งปอดระยะที่ 4 วินิจฉัยตั้งแต่ปี 2556 รักษามาเกือบ 12 ปีแล้ว ถือว่าได้พูดคุยกับทั้งผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยมะเร็งปอดมามาก พบว่ามีความยากลำบาก ทั้งการเข้าถึงการรักษา การไปตรวจ การเข้าออก รพ.บ่อยครั้ง สูญเสียทั้งเงินทอง เวลา และโอกาสหลายอย่างในชีวิต การมีชีวิตอยู่ได้นานเป็นเรื่องดี แต่ก็มีสิ่งที่ต้องแลกมา ซึ่งไม่อยากให้ใครมาเผชิญกับโรคนี้ ทั้งนี้ มะเร็งปอดปัจจัยเสี่ยงมาจากบุหรี่ แต่ผู้ป่วยจำนวนมากในเครือข่ายส่วนใหญ่ไม่ได้สูบบุหรี่ แต่ที่เป็นคือมีปัจจัยเสี่ยงอื่น เช่น มลภาวะเป็นพิษ ควันบุหรี่มือสอง แร่ใยหิน ถือว่าใกล้ตัวมากกว่าที่ทุกคนคิด จึงอยากเรียกร้องให้มีการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดให้มีการเข้าถึงในประชาชนทั่วไป จะทำอย่างไรให้คนเสี่ยงคือ สูบบุหรี่จัด คนในครอบครัวเป็นมะเร็งปอด หรือรับควันบุหรี่ได้รับการตรวจ Low Dose CT Scan เจอเร็ว หายเร็วแล้วจบ
รวมถึงเรื่องยานวัตกรรม รังสีรักษา ยามุ่งเป้าภูมิคุ้มกันบำบัดที่มีประสิทธิภาพในการรักษา ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี อายุยืนยาวขึ้น ซึ่งมีราคาสูงและมีข้อจำกัดการเข้าถึง อยากให้ทบทวนและสร้างโอกาสในการเข้าถึงยารักษาที่มีประสิทธิภาพดี ครอบคลุมผู้ป่วยที่มียีนกลายพันธุ์ทุกรูปแบบ ทุกสิทธิการรักษาอย่างเท่าเทียม ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมกับแต่ละบุคคล ซึ่งผู้ป่วยหลายรายสามารถใช้ยามุ่งเป้าได้แต่สิทธิการรักษาจำกัดไม่สามารถเลือกรับการใช้ยาได้ ต้องรับการรักษาาด้วยเคมีบำบัดทำให้อ่อนแอลง ภาพรวมคือ มีเสียงเรียกร้องให้ลดการตีตราว่าไม่ได้สูบบุหรี่ทำไมถึงป่วยมะเร็งปอด สร้างโอกาสให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาอย่างเท่าเทียม และเพื่มสิทธิพื้นฐานเข้าถึงการคัดกรอง