มะเร็งปอดยังคงเป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพประชากรทั่วโลกและคนไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ขณะที่อัตราการเสียชีวิตยังอยู่ในระดับสูง สะท้อนปัญหาการตรวจพบโรคในระยะลุกลาม และความจำเป็นในการเข้าถึงการวินิจฉัยเชิงรุกมากยิ่งขึ้น
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ปัจจุบันมะเร็งปอดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตจากมะเร็งอันดับต้น ๆ ของโลก โดยในแต่ละปีมีผู้ป่วยใหม่กว่า 2.2 ล้านคน และเสียชีวิตถึง 1.8 ล้านคน อัตรารอดชีวิตในระยะ 5 ปีทั่วโลกอยู่เพียง 15-20% เท่านั้น
สถานการณ์ในประเทศไทยก็ไม่น้อยหน้า โดยในปี 2565 (2022) มีผู้ป่วยมะเร็งปอดรายใหม่ถึง 23,494 ราย และถูกจัดให้เป็นมะเร็งที่คร่าชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของมะเร็งทั้งหมด
คาดปี 2568 ผู้ป่วยมะเร็งปอดพุ่งแตะ 27,500 ราย
พ.อ. รศ. นพ. ไนยรัฐ ประสงค์สุข แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็ง โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เปิดเผยว่า ปัจจุบันอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งปอดยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 มีผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 23,500 ราย และคาดว่าในปี 2568 ตัวเลขนี้จะพุ่งขึ้นเป็น 27,500 ราย
“แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนว่า จำนวนผู้ป่วยมะเร็งปอดรายใหม่ในประเทศไทยกำลังเพิ่มขึ้นในอัตราที่น่ากังวล สาเหตุหลักคือการตรวจพบในระยะลุกลามหรือระยะที่ 3-4 ซึ่งจำกัดทางเลือกในการรักษา และลดโอกาสในการรอดชีวิต” พ.อ. รศ. นพ. ไนยรัฐ กล่าว
โดยเฉลี่ยแล้ว อัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งปอดที่ตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกมีโอกาสหายขาดสูง แต่หากพบเมื่อโรคเข้าสู่ระยะ 3 หรือ 4 โอกาสรอดชีวิตจะลดลงอย่างมาก และการรักษาก็จะมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นตามมา
แม้ว่าสาเหตุหลักของมะเร็งปอดจะยังคงเป็น “การสูบบุหรี่” ซึ่งคิดเป็น 80-85% ของผู้ป่วยทั้งหมด (รวมถึงควันบุหรี่มือสอง) แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยงอื่นที่เริ่มมีบทบาทมากขึ้น เช่น มลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะ PM2.5 ที่เริ่มเห็นผลกระทบแล้ว ที่น่าตกใจคือ แนวโน้มการเกิดโรคในผู้หญิงที่ไม่สูบบุหรี่กำลังเพิ่มขึ้น โดยในอดีต อัตราส่วนของผู้ป่วยมะเร็งปอดชายต่อหญิงอยู่ที่ 3–4 ต่อ 1 เนื่องจากการสูบบุหรี่เป็นหลัก แต่ปัจจุบันช่องว่างนี้แคบลงเรื่อยๆ
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ผู้หญิงและคนที่ไม่สูบบุหรี่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นคือ “การกลายพันธุ์ของยีน” โดยเฉพาะในยีน EGFR (Epidermal Growth Factor Receptor) ซึ่งพบมากในประชากรเอเชีย โดยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีอัตราพบความผิดปกติในยีนนี้สูงที่สุดในโลก
“สำหรับประเทศไทย พบผู้ป่วยมะเร็งปอดจากยีน EGFR ผิดปกติประมาณ 57–68% ของมะเร็งปอดชนิด Adenocarcinoma” พ.อ. รศ. นพ. ไนยรัฐ ระบุ
นอกจากนี้ ยังมีการกลายพันธุ์ของยีน ALK (Anaplastic Lymphoma Kinase) ที่พบในผู้ป่วยอายุน้อยและผู้หญิงที่ไม่สูบบุหรี่ ซึ่งมีอัตราพบอยู่ที่ 5–7%
หัวใจสำคัญของการลดอัตราเสียชีวิตจากมะเร็งปอดคือ “การตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ” โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงสูง ได้แก่ ผู้ที่อายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป, มีประวัติสูบบุหรี่, มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งปอด หรือผู้ที่สัมผัสกับมลพิษทางอากาศต่อเนื่อง
“หลายคนมักมาพบแพทย์เมื่อมีอาการชัดเจน เช่น ไอเรื้อรัง หายใจติดขัด ไอเป็นเลือด หรือปวดหน้าอก ซึ่งหมายความว่าโรคมักเข้าสู่ระยะที่ 3 หรือ 4 แล้ว แต่ตอนนี้มีประชาชนบางส่วนเริ่มตระหนักและเข้ารับการคัดกรองเร็วขึ้น ทำให้สามารถรักษาหายขาดได้” พ.อ. รศ. นพ. ไนยรัฐ กล่าว
เครื่องมือที่แพทย์แนะนำในปัจจุบันคือ การตรวจคัดกรองด้วย “Low-dose CT scan” ซึ่งสามารถตรวจหาก้อนผิดปกติในปอดได้ตั้งแต่ขนาดเล็กๆ โดยให้ปริมาณรังสีต่ำกว่าการตรวจ CT ทั่วไป และมีความแม่นยำสูง
ปัจจุบันแนวทางการรักษามะเร็งปอดก้าวหน้ามาก โดยเฉพาะในกรณีที่ตรวจพบการกลายพันธุ์ของยีน เช่น EGFR หรือ ALK ซึ่งสามารถใช้ “ยามุ่งเป้า” ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่ายาเคมีบำบัด
“ผู้ป่วยที่ได้รับยามุ่งเป้ามีอัตราการตอบสนองต่อการรักษาสูงถึง 70–80% และคุณภาพชีวิตดีกว่ามาก ทั้งในแง่ของผลข้างเคียงที่น้อย และอายุขัยที่ยืนยาวขึ้น” พ.อ. รศ. นพ. ไนยรัฐ ยืนยัน
อย่างไรก็ตาม ยาเหล่านี้ยังมีราคาสูงและไม่ได้ครอบคลุมอยู่ในระบบประกันสุขภาพสำหรับผู้ป่วยทุกคน
อย่างไรด็ดีภาครัฐโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงสามารถเข้าถึงการตรวจคัดกรองด้วย Low-dose CT scan โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่มีทุนทรัพย์เพียงพอ
ขณะเดียวกันก็มีความพยายามผลักดันให้ยาที่มีประสิทธิภาพสูงแต่มีราคาจับต้องได้ เข้าบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงและลดภาระค่าใช้จ่ายระยะยาวของระบบสาธารณสุข
“การลงทุนในการตรวจคัดกรองเชิงรุกและรักษาเร็ว ไม่เพียงแต่เพิ่มอัตรารอดชีวิต แต่ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายทางสาธารณสุขที่เกิดจากการรักษาโรคในระยะท้าย และลดผลกระทบต่อครอบครัวผู้ป่วยได้”
จากสถิติที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจำนวนผู้ป่วยและอัตราการเสียชีวิต สะท้อนชัดว่า “มะเร็งปอด” ไม่ใช่โรคไกลตัว และไม่ได้เกิดเฉพาะในกลุ่มผู้สูบบุหรี่เท่านั้น แต่ยังมีความเสี่ยงในกลุ่มผู้หญิง ไม่สูบบุหรี่ คนอายุน้อย และผู้ที่อยู่ในพื้นที่มีมลภาวะสูง
การตรวจพบเร็วคือโอกาสรอดชีวิต และจำเป็นต้องมีมาตรการจากภาครัฐมาสนับสนุนให้เกิดการคัดกรองในวงกว้าง โดยเฉพาะการตรวจด้วย Low-dose CT scan ซึ่งควรได้รับการบรรจุอยู่ในสิทธิรักษาพยาบาลพื้นฐาน เช่น บัตรทอง หรือสิทธิสวัสดิการราชการ
การปรับแนวทางนโยบายเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจที่มีคุณภาพ และยาที่มีประสิทธิภาพ จะไม่เพียงลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งปอด แต่ยังส่งผลระยะยาวต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน และลดภาระของระบบสุขภาพไทยอย่างยั่งยืน





จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ปัจจุบันมะเร็งปอดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตจากมะเร็งอันดับต้น ๆ ของโลก โดยในแต่ละปีมีผู้ป่วยใหม่กว่า 2.2 ล้านคน และเสียชีวิตถึง 1.8 ล้านคน อัตรารอดชีวิตในระยะ 5 ปีทั่วโลกอยู่เพียง 15-20% เท่านั้น
สถานการณ์ในประเทศไทยก็ไม่น้อยหน้า โดยในปี 2565 (2022) มีผู้ป่วยมะเร็งปอดรายใหม่ถึง 23,494 ราย และถูกจัดให้เป็นมะเร็งที่คร่าชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของมะเร็งทั้งหมด
คาดปี 2568 ผู้ป่วยมะเร็งปอดพุ่งแตะ 27,500 ราย
พ.อ. รศ. นพ. ไนยรัฐ ประสงค์สุข แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็ง โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เปิดเผยว่า ปัจจุบันอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งปอดยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 มีผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 23,500 ราย และคาดว่าในปี 2568 ตัวเลขนี้จะพุ่งขึ้นเป็น 27,500 ราย
“แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนว่า จำนวนผู้ป่วยมะเร็งปอดรายใหม่ในประเทศไทยกำลังเพิ่มขึ้นในอัตราที่น่ากังวล สาเหตุหลักคือการตรวจพบในระยะลุกลามหรือระยะที่ 3-4 ซึ่งจำกัดทางเลือกในการรักษา และลดโอกาสในการรอดชีวิต” พ.อ. รศ. นพ. ไนยรัฐ กล่าว
โดยเฉลี่ยแล้ว อัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งปอดที่ตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกมีโอกาสหายขาดสูง แต่หากพบเมื่อโรคเข้าสู่ระยะ 3 หรือ 4 โอกาสรอดชีวิตจะลดลงอย่างมาก และการรักษาก็จะมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นตามมา
แม้ว่าสาเหตุหลักของมะเร็งปอดจะยังคงเป็น “การสูบบุหรี่” ซึ่งคิดเป็น 80-85% ของผู้ป่วยทั้งหมด (รวมถึงควันบุหรี่มือสอง) แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยงอื่นที่เริ่มมีบทบาทมากขึ้น เช่น มลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะ PM2.5 ที่เริ่มเห็นผลกระทบแล้ว ที่น่าตกใจคือ แนวโน้มการเกิดโรคในผู้หญิงที่ไม่สูบบุหรี่กำลังเพิ่มขึ้น โดยในอดีต อัตราส่วนของผู้ป่วยมะเร็งปอดชายต่อหญิงอยู่ที่ 3–4 ต่อ 1 เนื่องจากการสูบบุหรี่เป็นหลัก แต่ปัจจุบันช่องว่างนี้แคบลงเรื่อยๆ
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ผู้หญิงและคนที่ไม่สูบบุหรี่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นคือ “การกลายพันธุ์ของยีน” โดยเฉพาะในยีน EGFR (Epidermal Growth Factor Receptor) ซึ่งพบมากในประชากรเอเชีย โดยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีอัตราพบความผิดปกติในยีนนี้สูงที่สุดในโลก
“สำหรับประเทศไทย พบผู้ป่วยมะเร็งปอดจากยีน EGFR ผิดปกติประมาณ 57–68% ของมะเร็งปอดชนิด Adenocarcinoma” พ.อ. รศ. นพ. ไนยรัฐ ระบุ
นอกจากนี้ ยังมีการกลายพันธุ์ของยีน ALK (Anaplastic Lymphoma Kinase) ที่พบในผู้ป่วยอายุน้อยและผู้หญิงที่ไม่สูบบุหรี่ ซึ่งมีอัตราพบอยู่ที่ 5–7%
หัวใจสำคัญของการลดอัตราเสียชีวิตจากมะเร็งปอดคือ “การตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ” โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงสูง ได้แก่ ผู้ที่อายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป, มีประวัติสูบบุหรี่, มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งปอด หรือผู้ที่สัมผัสกับมลพิษทางอากาศต่อเนื่อง
“หลายคนมักมาพบแพทย์เมื่อมีอาการชัดเจน เช่น ไอเรื้อรัง หายใจติดขัด ไอเป็นเลือด หรือปวดหน้าอก ซึ่งหมายความว่าโรคมักเข้าสู่ระยะที่ 3 หรือ 4 แล้ว แต่ตอนนี้มีประชาชนบางส่วนเริ่มตระหนักและเข้ารับการคัดกรองเร็วขึ้น ทำให้สามารถรักษาหายขาดได้” พ.อ. รศ. นพ. ไนยรัฐ กล่าว
เครื่องมือที่แพทย์แนะนำในปัจจุบันคือ การตรวจคัดกรองด้วย “Low-dose CT scan” ซึ่งสามารถตรวจหาก้อนผิดปกติในปอดได้ตั้งแต่ขนาดเล็กๆ โดยให้ปริมาณรังสีต่ำกว่าการตรวจ CT ทั่วไป และมีความแม่นยำสูง
ปัจจุบันแนวทางการรักษามะเร็งปอดก้าวหน้ามาก โดยเฉพาะในกรณีที่ตรวจพบการกลายพันธุ์ของยีน เช่น EGFR หรือ ALK ซึ่งสามารถใช้ “ยามุ่งเป้า” ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่ายาเคมีบำบัด
“ผู้ป่วยที่ได้รับยามุ่งเป้ามีอัตราการตอบสนองต่อการรักษาสูงถึง 70–80% และคุณภาพชีวิตดีกว่ามาก ทั้งในแง่ของผลข้างเคียงที่น้อย และอายุขัยที่ยืนยาวขึ้น” พ.อ. รศ. นพ. ไนยรัฐ ยืนยัน
อย่างไรก็ตาม ยาเหล่านี้ยังมีราคาสูงและไม่ได้ครอบคลุมอยู่ในระบบประกันสุขภาพสำหรับผู้ป่วยทุกคน
อย่างไรด็ดีภาครัฐโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงสามารถเข้าถึงการตรวจคัดกรองด้วย Low-dose CT scan โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่มีทุนทรัพย์เพียงพอ
ขณะเดียวกันก็มีความพยายามผลักดันให้ยาที่มีประสิทธิภาพสูงแต่มีราคาจับต้องได้ เข้าบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงและลดภาระค่าใช้จ่ายระยะยาวของระบบสาธารณสุข
“การลงทุนในการตรวจคัดกรองเชิงรุกและรักษาเร็ว ไม่เพียงแต่เพิ่มอัตรารอดชีวิต แต่ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายทางสาธารณสุขที่เกิดจากการรักษาโรคในระยะท้าย และลดผลกระทบต่อครอบครัวผู้ป่วยได้”
จากสถิติที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจำนวนผู้ป่วยและอัตราการเสียชีวิต สะท้อนชัดว่า “มะเร็งปอด” ไม่ใช่โรคไกลตัว และไม่ได้เกิดเฉพาะในกลุ่มผู้สูบบุหรี่เท่านั้น แต่ยังมีความเสี่ยงในกลุ่มผู้หญิง ไม่สูบบุหรี่ คนอายุน้อย และผู้ที่อยู่ในพื้นที่มีมลภาวะสูง
การตรวจพบเร็วคือโอกาสรอดชีวิต และจำเป็นต้องมีมาตรการจากภาครัฐมาสนับสนุนให้เกิดการคัดกรองในวงกว้าง โดยเฉพาะการตรวจด้วย Low-dose CT scan ซึ่งควรได้รับการบรรจุอยู่ในสิทธิรักษาพยาบาลพื้นฐาน เช่น บัตรทอง หรือสิทธิสวัสดิการราชการ
การปรับแนวทางนโยบายเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจที่มีคุณภาพ และยาที่มีประสิทธิภาพ จะไม่เพียงลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งปอด แต่ยังส่งผลระยะยาวต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน และลดภาระของระบบสุขภาพไทยอย่างยั่งยืน