xs
xsm
sm
md
lg

“หมอธีระวัฒน์-อ.ปานเทพ“ แจงละเอียดยิบ “แท่งย้วยขาวในหลอดเลือด” และโปรตีนหนามทั่วร่างกายไปไกลถึงลูกอัณฑะ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“หมอธีระวัฒน์-อ.ปานเทพ“ แจงละเอียดยิบ “แท่งย้วยขาวในหลอดเลือด” (White Clot) และโปรตีนหนามทั่วร่างกายไปไกลถึงลูกอัณฑะ


วันนี้(21 มี.ค.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ได้โพสต์ข้อความในเพซบุ๊ก ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการพบ แท่งย้วยขาวในหลอดเลือด หรือ White Clot ในผู้ที่เสียชีวิตหลังจากการฉีดวัคซีโควิด-19 มีรายละเอียดดังนี้

จากเวที “ความจริงมีหนึ่งเดียว” ที่ได้จัดขึ้นในเวทีหอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม 2567 นั้น ในส่วนของช่วง ศาสตราจารย์ นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา และอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ได้ร่วมกันนำเสนอเรื่องที่ถูกปิดกั้นการนำเสนอข้อมูลมาอย่างต่อเนื่อง คือ ผลกระทบจากวัคซีนในหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งแปลกปลอมที่เกิดขึ้นภายในร่างกายหลังการฉีดวัคซีน ทั้งในเรื่อง แท่งย้วยขาวที่เกิดขึ้นตามหลอดเลือด (White Clot) และโปรตีนหนามที่เกิดขึ้นได้หลายอวัยวะ รวมไปถึงอัณฑะด้วย

ความจริงอีกด้านของผลกระทบจากวัคซีน กำลังถูกปิดกั้นข้อมูลข่าวสารจากแอพลิเคชั่นสื่อและโซเชียลมีเดียหลักทั่วโลก[1]-[2]

แม้แต่ข้อมูลภาครัฐก็มีความขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างเฉพาที่เว็บไซต์สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้รายงานผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวัคซีนแล้วยื่นคำขอและได้รับอนุมัติแล้ว เฉพาะที่เสียชีวิต/ทุพพลภาพมากกว่าคำแถลงการณ์ของของกรมควบคุมโรค 5,383%[3]-[4]

วารสารทางการแพทย์ที่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือด้านวัคซีน (Vaccine) ได้รายงานผลการวิจัยเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2567 ในกลุ่มประเทศที่เป็นเชื้อชาติฝรั่ง 99 ล้านคน พบว่ามีผลกระทบมากกว่าคาดการณ์อย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติและถึงระดับสัญญาณเรื่องความปลอดภัย คือ มีสถิติค่าความเชื่อมั่น 95% ที่มีขอบเขต “ขั้นต่ำ” มีอันตรายมากกว่าที่คาดการณ์ 50% ขึ้นไป

ผลการศึกษาในรอบ 42 วันในกลุ่มที่มีอาการมากกว่าที่คาดการณ์ ได้แก่ โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในวัคซีน mRNA ของไฟเซอร์และโมเดอร์นา, เนื้อเยื่อหัวใจอักเสบในวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าและโมเดอร์นา, อาการปลอกประสาทอักเสบเฉียบพลัน (Acute disseminated encephalomyelitis)ในวัคซีนโมเดอร์นา, ภาวะหลอดเลือดดำในสมองอุดตัน (Cerebral venous sinus thrombosis หรือ CVST)ในวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า, กิแลง บาร์แร ซินโดรม (Guillain-Barré Syndrome) เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบเฉียบพลันที่เส้นประสาทส่วนปลายโดยไม่เกิดความเสียหายต่อสมองหรือไขสันหลัง จากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันร่างกายเกิดชึ้นในวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า




ผลข้างเคียงในกลุ่มอาการที่เกิดขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์อันเป็นผลจากวัคซีนขั้นต้นมีตั้งแต่ค่าเฉลี่ยมากกว่าที่คาดการณ์ 74% และมากที่สุดถึง 591%[5]

แต่อาการข้างเคียงอาจมากกว่าในประชาชนไทย โดยมีงานวิจัยจากผลการสำรวจการฉีดวัคซีน mRNA ในเด็กนักเรียนมัธยมศึกษาของประเทศไทยในช่วง 14 วันพบว่า “มีเด็กและเยาวชนไทยได้รับผลกระทบจากวัคซีนทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหรือเนื้อเยื่อหัวใจอักเสบ มีสัดส่วนที่ “มากกว่า”ที่ระบุไว้ในเอกสารกำกับยาในวัคซีนไฟเซอร์เอ็นไบโอเทคสูงถึง 23,100%”[6]-[7]

นอกจากนั้น ศาลในสหรัฐอเมริกาเพิ่งจะมีคำสั่ง​ให้องค์การอาหารและยา(FDA)สหรัฐอเมริกา​ ต้อง​เปิดเผยข้อมูลวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นา ​ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป[8]

แปลว่าข้อมูลสถิติผลข้างเคียงของวัคซีน mRNA ได้ถูกปกปิดมาโดยตลอด และอาจทำให้วัคซีนเหล่านี้ปลอดภัยเกินความเป็นจริง และข้อมูลงานวิจัยที่นำเสนอที่ผ่านมาอาจไม่ถูกต้องตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็ได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานวิจัยในผลข้างเคียงที่ผ่านมาดังที่กล่าวมาข้างต้น “จำกัดขอบเขตของอาการ” ที่สนใจเท่านั้น และอยู่ใน “ระยะเวลาอันจำกัด” ตั้งแต่ 14-42 วันหลังที่ฉีดวัคซีนเท่านั้น

นั่นหมายความว่าอาจจะมีอาการผลข้างเคียงของวัคซีนฉุกเฉินมากกว่าที่เคยมีการวิจัยที่ผ่านมา และอาจมีอาการหรือโรคที่เกิดขึ้นนานกว่า 42 วันหลังฉีดวัคซีนเท่าที่เคยมีการวิจัยด้วย


โดยศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ได้เคยนำเสนออย่างละเอียดมาแล้วถึงการเก็บกรณีศึกษาในคนไข้ในประเทศไทย ที่พบหลังฉีดวัคซีน ซึ่งรวมถึง อาการกล้ามเนื้อกระตุก ตาเห็นภาพซ้อน เกิดอาการเกร็งตามใบหน้าและคอ ตาเข ไตวายเฉียบพลัน กล้ามเนื้ออ่อนแรง อัมพาต สมองเสื่อม ฯลฯ[9]

แต่สิ่งที่ไม่สามารถปิดเป็นความลับได้คือการเสียชีวิตของประชาชนไทย “เพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดปกติ” ในปีงบประมาณ 2565 และ 2566 หลังปีที่มีการฉีดวัคซีน และมีจำนวนเสียชีวิต“มากกว่า” ปีงบประมาณ 2564 ซึ่งปีที่มีการการระบาดและเสียชีวิตมากที่สุดจากโรคโควิด-19 ของประเทศไทย[10]

ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่มีคำตอบด้วยการชันสูตรศพว่าคนที่เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติเหล่านี้ฉีดวัคซีนยี่ห้อไหน ตายด้วยโรคอะไร และมีความสัมพันธ์กับวัคซีนอย่างไร?

ทั้งๆที่ในต่างประเทศได้มีการชันสูตรศพถึงการเสียชีวิตผิดปกติไปมากแล้ว

โดยศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ได้เผยแพร่รายงานการชันสูตรศพจาก คณะแพทย์และนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน จาก เยล จากสถาบันมะเร็ง (Cross cancer institute) แคนาดา องค์กรอิสระจากสหรัฐ ได้ร่วมกันวิเคราะห์และรายงานในคลังฐานข้อมูล Zenodo ที่ดำเนินการภายใต้สหภาพยุโรป โปรแกรม openAIRE และองค์กร CERN (European Organization for Nuclear Research) เพื่อส่งเสริมทางเชื่อมโยงการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์อย่างยั่งยืน โดยมีสาระสำคัญที่น่าสนใจ เช่น

“ระบบที่เสียหายและเกี่ยวข้องกับวัคซีนโควิดจนถึงเสียชีวิตนั้น ประกอบไปด้วย ระบบหัวใจและหลอดเลือด 53% ระบบทางโลหิตวิทยา 17% ระบบทางเดินหายใจ 8% และมีหลายระบบเสียหายร่วมกัน 7% ทั้งนี้ 21 รายในจำนวนผู้เสียชีวิตดังกล่าวมีอวัยวะที่ได้รับผลกระทบสามระบบหรือมากกว่า”[11]

“ระยะเวลาจากที่ได้รับวัคซีนจนกระทั่งเสียชีวิตโดยเฉลี่ย 14.3 วัน และผู้ที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดขึ้นภายในเจ็ดวันหลังจากที่ได้รับวัคซีน 240 รายหรือ 73.9% ได้มีการพิจารณาจากหลักฐานต่างๆ ว่าเกี่ยวข้องกับวัคซีนโควิด”[11]


สาระสำคัญในเรื่องนี้ไม่เพียงการเจ็บป่วยหรือตายผิดปกติเท่านั้น แต่ส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญ คือ “กลไก” ที่เกิดขึ้นหลังฉีดวัคซีน mRNA ที่ทำให้เกิด “โปรตีนหนาม” (Spike Protein)ไปทั่วร่างกาย จึงสร้างการอักเสบไปทั่วร่างกายได้ด้วย ดังคำอธิบายความตอนหนึ่งว่า

“ที่อธิบายอันตรายที่เกิดจาก modified mRNA วัคซีน จากรายงานทางวิทยาศาสตร์ พบว่าโปรตีนหนาม (spike protein) ไม่ได้กองอยู่ที่ตำแหน่งที่ฉีดที่แขน แต่ล่องลอยในกระแสเลือดได้นานถึงหนึ่งเดือน”[11]

”พบได้ในอวัยวะของคนที่หัวใจวายหรือมีการตายโดยกะทันหัน ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนหลังจากที่ฉีดวัคซีน และการที่เป็นอนุภาคนาโนไขมัน ทำให้สามารถซึมเข้าเซลล์ได้ทุกระบบทุก อวัยวะและในเส้นเลือด และบังคับให้เซลล์สร้างโปรตีนหนามอย่างต่อเนื่อง โดยที่คนที่มีกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากวัคซีนจะพบว่ามีโปรตีนหนามล่องลอยอยู่ในกระแสเลือด และในเนื้อเยื่อหัวใจ และไม่ได้อธิบายจากการที่วัคซีนไปกระทบกับตัวรับ ACE2 ที่ เบี่ยงเบนไปทางด้านการอักเสบเท่านั้น อย่างที่เข้าใจกันตอนแรก

ซึ่งแม้แต่กลไกดังกล่าวอย่างเดียว ก็ทำให้มีการอักเสบในร่างกายในเลือดอย่างต่อเนื่องได้แล้ว และทำให้หลอดเลือดเกร็งตีบจนกระทั่งถึงตันหรือผนังหลอดเลือดรั่ว

จากการที่มีการพัฒนาวัคซีน mRNA และกระบวนการผลิตวัคซีน ที่มีการปรับเปลี่ยนกรดนิวคลีโอไทด์ เพื่อให้เสถียรขึ้นและคงทนได้จากการถูกทำลายจากระบบภูมิคุ้มกัน“[11]

แต่ความน่าเป็นห่วงไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะโปรตีนหนามที่เกิดขึ้นล่องลอยไปในอวัยวะต่างๆเท่านั้น แต่ยังรวมถึง “การแปรรหัสผลกระทบจากวัคซีนผิด ส่งผลทำให้เกิดโปรตีนผิดปกติ” ที่ก่อโรคมากกว่านั้นด้วย ซึ่งรวมถึงโรคแพ้ภูมิตนเอง โรคมะเร็ง โรคสมองเสื่อม ความว่า

“มีการแปลรหัสผิด มีการตกหล่นของ mRNA ไปหนึ่งถึงสองตัว แต่ก็มากพอที่จะทำให้เกิดการบังคับให้ผลิตโปรตีนที่ไม่ต้องการ (aberrant protein) แทนที่จะเป็นโปรตีนหนาม

โดยกระบวนการนี้ เรียกว่า frameshift และโปรตีนที่แปรเปลี่ยนไปนี้ สามารถที่จะมีลักษณะคล้ายกับโปรตีน ตามธรรมชาติในร่างกายมนุษย์ และสามารถทำให้เกิดโรคแพ้ภูมิตัวเองจนกระทั่งถึงมะเร็ง

ดังที่มี การรายงานในวารสารเนเจอร์ในเดือนธันวาคม 2023 และอีกทั้งยังมีการปนเปื้อนในวัคซีน modified mRNA นี้ ด้วย DNA ยีน SV40 enhancer และ ori ซึ่งจะเป็นตัวช่วยในกระบวนการเพิ่มปริมาณ DNA ของ spike ซึ่งทำให้มีโอกาสที่จะแทรกเข้าไปในเซลล์มนุษย์และสั่งให้สร้างโปรตีนที่ผิดรูปแบบและทำให้เกิดโรคต่างๆ


ในระยะหลังจากที่ได้รับวัคซีนไป และ กลไกต่างๆนี้สามารถทำให้กระบวนการขจัดโปรตีนพิษบิดเกลียวผิดเพี้ยน

ซึ่งปกติแล้ว เซลล์ในร่างกายมีกลไกที่จะคลี่เกลียวออก เป็นโปรตีนที่นำมาใช้ใหม่หรือถ้าทำไม่สำเร็จก็ต้องขจัดออกไปให้หมด โดยที่ถ้ามีการสะสมของโปรตีนพิษเหล่านี้จะทำให้เซลล์ตายและถ้าเป็นในสมองจะเกิดสมองเสื่อม“[11]

ในส่วนของระบบภูมิคุ้มกันเองนั้น เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันสามารถที่จะยอมรับอนุภาคนาโนไขมันเหล่านี้และปล่อยกลับเข้าไปในกระแสเลือด ในรูปของ Exosome ที่มีจำนวนมากขึ้น โดยที่ในอนุภาคนั้นจะประกอบไปด้วยโปรตีนหนาม และ microRNAs ที่สามารถล่องลอยไปยังอวัยวะที่ห่างไกลและสามารถกระตุ้นสัญญาณทำให้เกิดมีการอักเสบที่อาจจะเกิดเด่นในระบบเดียวหรือในหลายระบบพร้อมกัน และเกิดการเบี่ยงเบนจนเกิดมะเร็ง การอักเสบไม่รู้จบ การแพ้ภูมิตนเอง โรคหัวใจ”[11]

ระบบการอักเสบทั่วร่างกาย และระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดเพี้ยนไปนี้เอง จึงเป็นคำอธิบายที่สำคัญกับแท่งย้วยสีขาวในหลอดเลือด หรือที่เรียกว่า White Clot ที่ต้องอาศัยการตรวจด้วยกล้องจุททรรศน์เพื่อแสดงให้เห็นว่า สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ”ก่อน“การเสียชีวิต และอาจแปลได้ว่าเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตด้วยก็ได้

สอดรับกับคำอธิบายของ นายแพทย์วิชาญ เกิดวิชัย คณบดีกิตติคุณ วิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งเป็นศัลยแพทย์ หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดเส้นประสาท ได้ให้คำอธิบายเรื่อง แท่งย้วยสีขาวในหลอดเลือด หรือที่เรียกว่า White Clot ความว่า

“Clot (ก้อนที่อุดตัน)ที่เกิดหลังเสียชีวิต จะไม่เรียกว่า “White Clot“ อาจจะเป็น Red Clot (ก้อนสีแดง) หรือสีออกเหลือง เป็นแบบ Chicken fat (มันไก่)

White Clot ใช้เรียก Clot (ก้อนที่อุดตัน)ที่เกิดในหัวใจหรือเส้นเลือด “ก่อนตาย” เกิดจากการเกาะตัวของเกร็ดเลือด องค์ประกอบการจับแข็งตัวของลิ่มเลือด (Clotting Factors), รวมถึงไฟบริน (Fibrin) ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ไม่ละลายในน้ำ เป็นสารในน้ำเลือด มีลักษณะคล้ายเส้นใยที่เกิดขึ้นเมื่อผนังหลอดเลือดเสียหาย

องค์ประกอบเหล่านี้เกิดขึ้นที่ผนังเลือดหรือหัวใจมีเม็ดเลือดแดงอยู่น้อย หากตัดส่องกล้องจุลทรรศน์ดูจะพบเป็นชั้นๆ (Laminted) และมีเส้นที่เกิดการเรียงตัวสลับกันเป็นชั้นๆของส่วนก้อนเลือด (Thrombus) โดยที่การสะสมของเกร็ดเลือดและไฟบรินจะให้ลักษณะเป็นเส้นสีขาว

ซึ่งจะแตกต่างจาก Clot หลังการตาย !!!“[12]-[14]

“ในผู้ป่วยโควิด-19 ที่รุนแรงและในผู้ที่มีอาการหลังฉีดวัคซีนที่รุนแรง หรือถึงเสียชีวิต มีสมมุติฐานว่าเกิดจากภาวะ DIC (disseminated intravascular coagulation) หมายถึง ภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจาย จากปฏิกิริยารุนแรงของการทำงานของภูมิคุ้มกัน (Severe immune reaction)[12]-[14]

การชันสูตรพลิกศพแล้วพบว่า White Clot ควรนำมาตัดส่องกล้องจุลทรรศน์ดู ถ้าพบว่าเป็น Clot ที่เกิดก่อนเสียชีวิต น่าเชื่อได้ว่าเป็นผลจากการติดเชื้อ หรือจากวัคซีน และสามารถตรวจภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจาย (DIC) ได้ด้วย”[12]-[14]

ดังนั้นสิ่งที่นายแพทย์วิชาญ เกิดวิชัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดเส้นประสาทให้ความเห็นนี้ ต้องการจะแสดงให้เห็นว่าแท่งย้วยสีขาวในหลอดเลือด หรือ White Clot นั้นต้องมีการตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ของผู้ที่ทดสอบวิจัย ไม่ใช่การตอบโต้ด้วย “วาทะกรรม” ทางการเมืองในประเทศโดยภาครัฐในประเทศไทยไม่ได้มีส่วนร่วมในการตรวจในต่างประเทศเลย

โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีการปกปิดข้อมูลเกิดขึ้นทั่วโลก เราจึงต้องฟังกรณีศึกษาที่พบความผิดปกติในต่างประเทศด้วย

โดย ศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ได้นำเสนอ คือ การสำรวจล่าสุด worldwide enbalmer blood clot survey ( United States, Canada, United Kingdom, Australia) ที่ทำการสำรวจตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 ถึงมกราคม 2567 โดย Thomas Haviland

มีช่างดองศพ หรือสัปเหร่อ ทั้งหมด 269 ราย และมีประสบการณ์การทำงานมากกว่า 20 ปี ถึง 137 คนและทำงานมา 11 ถึง 20 ปีเป็นจำนวนถึง 60 คนด้วยกัน กล่าวโดยสรุปคือ มีประสบการณ์เฉลี่ยทั้งหมดคือ 15 ปี ซึ่งคนเหล่านี้สามารถที่จะวิเคราะห์ได้ว่าก้อนที่เกิดขึ้นนั้นเป็นของปกติหรือผิดปกติ

โดยทั้งหมดพบในช่วงประมาณกลางปี 2564 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน ทั้งสิ้น โดยที่ในแต่ละคนนั้นจะทำการจัดการศพโดยเฉลี่ยปีละ 100 ศพ และมากสุดถึง 300 ต่อปี

ในปี 2566 มีถึง 73% หรือ เจ้าหน้าที่ 197 คน ที่พบแท่งยาวสีขาวนี้ในศพ และอีก 72 คนหรือ 27% ไม่พบ โดยศพที่พบแท่งสีขาวจะมีประมาณ 20% ในปี 2566 โดยที่เฉลี่ยในปี 2565 อยู่ที่ 30%

แต่เจ้าหน้าที่ทั้งหมดไม่พบลักษณะนี้ก่อนหน้าที่จะมีการระบาดของโควิดและก่อนหน้าที่มีการใช้วัคซีนโควิด อย่างไรก็ตาม ยังขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ทำงานของเจ้าหน้าที่ โดยมีเจ้าหน้าที่หกรายพบลักษณะผิดปกติเช่นนี้ใน 81 ถึง 100% ของศพ เจ้าหน้าที่ 11 รายพบ 61 ถึง 80% ของศพ และ 29 รายพบ 41 ถึง 60% ของศพ 48 รายพบ 21 ถึง 40% ของศพและ 112 รายพบหนึ่งถึง 20% ของศพ

“ลักษณะของ white clot นั้น เหมือนกับถูกหล่อมาจากเส้นเลือดไม่ว่าจะเป็นเส้นเลือดดำหรือแดงมีลักษณะเป็นแท่งหรือเป็นเส้น ในเส้นเลือดแดงขนาดใหญ่และขนาดกลางโดยมีความเหนียวยืดหยุ่นได้และมีความยาวเป็นฟุต ไม่เหมือนกับก้อนหรือแท่งตามปกติที่พบหลังการตายที่มีมีหลายลักษณะตามระยะเวลาหลังจากที่เสียชีวิต

จากการที่สามารถพบได้ในคนที่ยังไม่ตายและกำลังจะตายซึ่งช่วยชีวิตไม่ทันและตายใหม่ๆ จึงเป็นที่มาของข้อสันนิษฐานว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่เป็นสาเหตุของการตายโดยเฉพาะที่เป็นการตายกระทันหันที่เกิดจากหลอดเลือด ร่วมกับความสามารถของวัคซีนโควิดที่ก่อให้เกิดการอักเสบของหลอดเลือดอยู่แล้วรวมกระทั่งถึงอวัยวะอื่นๆและหัวใจโดยที่ในหัวใจนั้นพิสูจน์แล้วว่าเกิดจากมีกระจุกหย่อมการอักเสบ ที่ตัดทางเดินไฟฟ้าที่ควบคุมการเต้นของหัวใจ”[15]-[17]

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สาระสำคัญของแท่งย้วยสีขาวที่สำรวจในต่างประเทศนั้น พบองค์ประกอบอื่นที่ทำให้แท่งสีขาวย้วยนี้มีความยืดหยุ่นดึงไม่ขาด ซึ่งองค์ประกอบนั้นพิสูจน์แล้วว่าโปรตีนเอมิลอยด์ (โปรตีนที่พบมากในการอักเสบเรื้อรังและในโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์)เส้นประสาทด้วย


ดังนั้นสาระสำคัญของเรื่องแท่งย้วยสีขาว (White Clot) จึงมีความสำคัญถึง 3 ประเด็นคือ

ประการแรก “องค์ประกอบ” ของแท่งย้วยขาว (White Clot)ในหลอดเลือดที่ส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ มีความ“ผิดปกติ”

ประการที่สอง “ปริมาณศพ”ที่พบแท่งย้วยขาว (White Clot) มีจำนวนมากผิดปกติ

ประการที่สาม พบได้ในคนที่ยังมีชีวิตอยู่ “แสดงว่าอาจเป็นสาเหตุการเสียชีวิต”ได้

สิ่งที่ศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ได้นำเสนอรายละเอียดเพิ่มเติมถึงประเด็นสำคัญคือ องค์ประกอบของแท่งย้วยสีขาว ซึ่งมีโปรตีนหนาม และโปรตีนอมิลอยด์ ที่แม้จะฉีดที่ผิวหนังแต่กลับวิ่งไปทำให้เกิดการอักเสบไปทั่วร่างกาย รวมถึง ม้าม ต่อมน้ำเหลือง อัณฑะ ต่อมลูกหมาก และตามผนังหลอดเลือด และหลอดเลือดหัวใจด้วย

ข้อสำคัญแท่งย้วยสีขาวเหล่านี้ “มีความเหนียวไม่ขาดง่าย ไม่ได้ถูกย่อยสลายด้วยเอนไซม์ใดในร่างกาย และไม่ถูกละลายด้วยยาละลายลิ่มเลือด” ด้วย ความตอนหนึ่งว่า

”พบสิ่งที่ทะลักออกมาจากผิวของหลอดเลือดที่มีโปรตีนแทรกอยู่ สิ่งที่ทะลักออกมานี้เมื่อทำการย้อมพิเศษเพื่อดูชนิดของโปรตีนปรากฏว่านี่คือโปรตีนอมิลอยด์ ซึ่งเป็นโปรตีน ลักษณะคล้ายกับที่พบโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ หรือที่พบในหลอดเลือดและท าให้เส้นเลือดแตกในสมอง และยังพบได้ในภาวะที่มีการอักเสบเป็นระยะเวลายาวนาน

นอกจากนั้นในศพของผู้ตายนั้นสามารถที่จะเห็นแท่งพิเศษดังกล่าวนั้นอยู่ในหลอดเลือดลักษณะเป็นแท่งหล่อตามรูปร่างของหลอดเลือด และเมื่อลากออกมาแล้ว มีลักษณะเหนียวยืดหยุ่นได้และไม่ขาดง่ายแม้จะใช้แรงดึงและดังที่กล่าวข้างต้นไปแล้วว่าแท่งหรือก้อนเหล่านี้ถูกคลุมด้วยก้อนเลือดที่เห็นในคนตายตามปกติหรือก้อนหรือแท่งผสมปนเปไปกับก้อนเลือดที่เห็นธรรมดา

เมื่อนำแท่งเหล่านี้พยายามที่จะทำการย่อยด้วยเอนไซม์โปรทีเอส (protease enzymes) ปรากฏว่ามีความทนทานต่อเอนไซม์

และเป็นลักษณะเดียวกับที่แพทย์ที่ประเทศแอฟริกาใต้ได้เจอเช่นกัน

ความดุ ที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือการอักเสบที่กล่าวถึงนี้พบได้แทบจะทั่วทุกอวัยวะ แม้กระทั่งลูกอัณฑะและต่อมลูกหมากของผู้เสียชีวิต รวมกระทั่งถึงในสมองและอวัยวะอื่นๆ และมีความผิดปกติในม้าม และต่อมน้ำเหลือง โดยมีการก่อตัวคล้ายมะเร็ง (peudolymphoma) หลอดเลือดในม้ามอักเสบและมีการหนาตัว ที่เรียกว่า onion skin แบบที่พบจากปฏิกิริยาในโรคภูมิคุ้มกันแปรปรวนและมีเนื้อม้ามอักเสบตายตาย และเนื้อของต่อมน้ำเหลืองตาย พร้อมกับพบแท่งดังกล่าวอยู่ใกล้ผนังเส้นเลือดและในหลอดเลือดด้วย

ลักษณะเฉพาะตัวอีกประการคือการที่เนื้อของอวัยวะมีลักษณะคล้ายฟองน้ำ(vacuole) อยู่ทั่วไป

โดยสรุปกระบวนการหรือปรากฏการณ์จากวัคซีน modified mRNA นี้ เป็นเหตุผิดธรรมชาติ

โดยมีโปรตีนหนามพิษ ถูกสร้างมาสะสมและก่อให้เกิดการอักเสบ ผนังเส้นเลือดและเนื้อเยื่อของอวัยวะถูกทำลายมีรูพรุน

โปรตีนหนามพิษนี้เหนี่ยวนำการสร้างโปรตีนผิดปกติแบบบิดเกลียว อมิลอยด์ และหลุดเข้าไปในหลอดเลือดหล่อกลายเป็นแท่งและมีความเหนียวยืดหยุ่น

กลไกนี้เป็นคุณสมบัติเฉพาะตัว ซึ่งไม่สามารถเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและกลายเป็นนวัตกรรมสูงสุดที่กลายเป็นทำให้เจ็บป่วยตายและเกิดขึ้น แม้แต่ได้รับวัคซีนเข็มสุดท้ายไปแล้วนานไปอย่างน้อยครึ่งปีก็ตาม“[18]


ประเด็นที่น่าคิดถึงระดับความผิดปกติที่เล็กระดับนาโนนี้ หากอยู่ในเซลล์อันฑะหรือต่อมลูกหมากได้ ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ถึงเด็กที่จะเกิดจากอสุจิของชายที่มีโปรตีนหนาม หรือโปรตีนอะมีลอยด์ ว่าเด็กในอนาคตจะเติบโตมาเป็นมนุษย์ในสภาพใด ซึ่งจะต้องวิจัยติดตามผลต่อไป

และแปลว่าต่อไปอาจจะมีคำถามก่อนแต่งงาน ไม่เพียงแค่สุขภาพแข็งแรงติดเชื้อร้ายแรงอะไรมาบ้างหรือไม่เท่านั้น แต่ต่อไปอาจจะต้องตั้งคำถามว่าคู่บ่าวสาวนั้นฉีดวัคซีนอะไรมาเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจด้วยหรือไม่?

สุดท้ายในการนำเสนอครั้งนี้ ศาสตราจารย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ได้นำเสนอบนเวทีหอประชุมเล็กที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่า เรื่องนี้เกี่ยวกับไวรัสประดิษฐ์ผิดธรรมชาติที่ทำลายชีวิตและสุขภาพของมนุษยชาติ

มีผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ในต่างประเทศและในประเทศไทยที่นำไปสู่การสนับสนุนสร้างโรคระบาดใหม่ๆตลอดเวลา ด้วยงานวิจัยเพื่อนำไปสู่ผลประโยชน์ธุรกิจวัคซีน และจะทำธุรกิจต่อเนื่องจากโรคที่เกิดขึ้นหลังจากฉีดวัคซีน อีกทั้งยังมีการปกปิดข้อมูความจริงกันเป็นขบวนการเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง ซึ่งมีทั้งอันตรายและอำมหิตอย่างยิ่ง

สิ่งเหล่านี้ประชาชนชาวไทยควรจะได้รับทราบความจริงเหล่านี้

ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
21 มีนาคม 2567

อ้างอิง
[1] ผู้จัดการออนไลน์, ‘มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก’ แฉยับ ‘ผู้มีอำนาจ’ สั่งเฟซบุ๊กเซ็นเซอร์ข้อมูลโควิด-19 แต่สุดท้ายหลายอย่างกลายเป็น ‘เรื่องจริง’, 12 มิถุนายน 2566
https://mgronline.com/around/detail/9660000053510

[2] Youtube Help, Medical misinformation policy
https://support.google.com/youtube/answer/13813322?hl=en

[3] กรมควบคุมโรค, ชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องผลกระทบของวัคซีนโควิด 19 และข้อมูลการเฝ้าระวังเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่เกิดภายหลังการได้รับวัคซีน, เว็บไซต์สถาบันวัคซีนแห่งชาติ, 17 มกราคม 2567
http://nvi.go.th/.../17/prnews_2567_01_ddc_covid-19vaccine/

[4] เว็บไซต์สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ, รายงานผู้ได้รับสิทธิเยียวยาจากการได้รับผลกระทบจากวัคซีนระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2564 ถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567
https://subsidy.nhso.go.th/subsidy/...

[5] K. Faksova, et al., COVID-19 vaccines and adverse events of special interest: A multinational Global Vaccine Data Network (GVDN) cohort study of 99 million vaccinated individuals. Vaccine, Available online 12 February 2024
https://www.sciencedirect.com/.../pii/S0264410X24001270

[6] ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, เสียดายที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้อ่าน งานวิจัยผลกระทบจากวัคซีนต่อ “เด็กและเยาวชนไทย”,เฟซบุ๊ค แฟนเพจ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, 22 กุมภาพันธ์ 2567
https://www.facebook.com/100044511276276/posts/930738298419871/?

[7] Suyanee Mansanguan, et al., Cardiovascular Manifestation of the BNT162b2 mRNA COVID-19 Vaccine in Adolescents., Tropical Medicine and Infectious Disease, Published: 19 August 2022, 7(8), 196;https://doi.org/10.3390/tropicalmed7080196

[8] ICAN, BREAKING: FEDERAL JUDGE ORDERS CDC TO RELEASE ALL V-SAFE FREE-TEXT ENTRIES IN A HUGE WIN FOR VACCINE SAFETY TRANSPARENCY, January 11,2024.
https://icandecide.org/.../breaking-federal-judge-orders.../

[9] ปานเทพดอทคอม, การบรรยายเรื่องภาวะ Long Covid-19 และผลกระทบจากวัคซีน โดย ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา,ยูทูป, 08/02/2567
https://youtu.be/TphBWDJOJ1g?si=-x6lDtU_fekbjDDb

[10] เรณู เขมาปัญญา, กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ เรียกร้องให้มีการสืบสวนหาสาเหตุการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติของคนไทย, เว็บไซต์ข่าววิทยุรัฐสภา, 9 มกราคม 2567
https://www.tpchannel.org/radio/news/24200

[11] ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา, ชันสูตรศพผู้ตายจากวัคซีนโควิด 326 ราย, ผู้จัดการออนไลน์, 3 มี.ค. 2567
https://mgronline.com/qol/detail/9670000019343

[12] ความเห็นส่งไลน์กลับจาก นายแพทย์วิชาญ เกิดวิชัย เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567
[13] National Heart, Lung, and Blood Institute, Disseminated Intravascular Coagulation (DIC)
https://www.nhlbi.nih.gov/.../disseminated-intravascular...

[14] Alison R. Krywanczyk, et al., Histologic and Immunohistochemical Features of Antemortem Thrombus Compared to Postmortem Clot: Updating the Definition of Lines of Zahn, Arch Pathol Lab Med (2023) 147 (11): 1241–1250.
https://meridian.allenpress.com/.../Histologic-and...

[15] ผู้จัดการออนไลน์, “หมอธีระวัฒน์” เผยพบปรากฏการณ์ที่ไม่ได้เห็นมาก่อนในคนฉีดวัคซีน mRNA, 19 กุมภาพันธ์ 2567
https://mgronline.com/qol/detail/9670000015334

[16] ผู้จัดการออนไลน์, ปรากฏการณ์แท่งย้วยสีขาวอุดตันเส้นเลือด ในผู้ฉีดวัคซีน mRNA, 20 กุมภาพันธ์ 2567
https://mgronline.com/qol/detail/9670000015694

[17] ผู้จัดการออนไลน์, “หมอธีระวัฒน์” ย้ำแท่งย้วยสีขาวเริ่มพบกลางปี 2021 หลังมีการใช้วัคซีน mRNA ยันไม่ใช่นักต่อต้านวัคซีน, 21 กุมภาพันธ์ 2567
https://mgronline.com/qol/detail/9670000015912

[18] ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา, นวัตกรรมสุดยอดของวัคซีนเลื้อยดุ, ผู้จัดการออนไลน์, 15 มี.ค. 2567
https://mgronline.com/daily/detail/9670000023136


กำลังโหลดความคิดเห็น