สธ.ส่งหนังสือยันเปิดเผยสัญญาซื้อวัคซีนไฟเซอร์ไม่ได้ เหตุติดเงื่อนไขห้ามเปิดเผยความลับต่อบุคคลที่ 3 เว้นแต่มีคำสั่งศาลและต้องแจ้งให้ไฟเซอร์ทราบล่วงหน้าก่อน ตัวแทนกลุ่ม “คนไทยพิทักษ์สิทธิ์” ชี้ เป็นการยืนยันสิ่งที่ข้องใจ ไฟเซอร์หักคอรัฐบาลไทยเซ็นสัญญาทาส ไม่อนุญาตให้ตรวจสอบ น่าเศร้าข้าราชการกินภาษีประชาชนกลับกลัวบริษัทยา หรือว่าจริงๆ เป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนจำนวนมาก
วันนี้(15 ก.พ.) แหล่งข่าวจาก “กลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์” เปิดเผยว่า ตามที่ตัวแทนของกลุ่มฯ ได้ทำหนังสือเรียกร้องให้กระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยสัญญาจัดซื้อวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ระหว่างรัฐบาลกับบริษัท ไฟเซอร์ จํากัด ต่อสาธารณชนนั้น ล่าสุด นายพงศธร พอกเพิ่มดี รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาการสาธารณสุข ปฏิบัติราชการแทนปลัดกระทรวงฯ ได้ทำหนังสือตอบกลับมาแล้วว่าไม่สามารถเปิดเผยสัญญาได้ ตามหนังสือที่ สธ ๐๔๐๒.๗/๕๑๖ ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 มีรายละเอียดดังนี้
ที่ สธ ๐๔๐๒.๗/๕๑๖
กระทรวงสาธารณสุข ถนนติวานนท์ จังหวัดนนทบุรี ๑๑๐๐๐
๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗
เรื่อง ขอให้เปิดเผยสัญญาจัดซื้อวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ระหว่างรัฐบาลกับบริษัท ไฟเซอร์ จํากัด
เรียน นางรุ่งธรรม มิโลเจนิค ตัวแทนกลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์
อ้างถึง หนังสือกลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ลงวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๖๗
ตามหนังสือที่อ้างถึง ท่านได้ขอให้กระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยสัญญาจัดซื้อวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ระหว่างรัฐบาลกับบริษัท ไฟเซอร์ จํากัด ต่อสาธารณชน ความละเอียดแจ้งแล้ว นั้น
กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาแล้ว ขอเรียนให้ทราบว่า ในการดําเนินการจัดหาหรือจัดซื้อวัคซีน ป้องกันโรคโควิด 19 นั้น เป็นการดําเนินการที่มีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ได้แก่ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) หรือ สบค. สถาบันวัคซีนแห่งชาติ องค์การเภสัชกรรม สภากาชาดไทย ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และกรมควบคุมโรค ตามประกาศศูนย์บริหาร สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ลงวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๖๔ ซึ่งที่ผ่านมา ทุกฝ่ายได้ร่วมกันดําเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ หลากหลายชนิด และในปริมาณที่เหมาะสมกับการให้บริการประชาชนในประเทศ เพื่อนํามาให้บริการประชาชนโดยไม่มีค่าใช้จ่ายและเป็นไปตามความสมัครใจของประชาชนที่จะเลือกรับวัคซีนชนิดใด โดยสัญญาจัดซื้อวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ระหว่างประเทศไทยกับบริษัท ไฟเซอร์ จํากัด กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้เป็นผู้ดําเนินการจัดทําสัญญาเพื่อจัดซื้อวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 จากบริษัท ไฟเซอร์ จํากัด ทั้งนี้ เนื่องจากมีข้อกําหนดในสัญญากําหนดให้คู่สัญญาต้องรักษาข้อมูลไว้เป็นความลับอย่างเคร่งครัดและไม่เปิดเผยข้อมูลที่เป็นความลับแก่บุคคลที่สาม
หากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จําเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลที่เป็นความลับเนื่องจากคําสั่งศาล กฎเกณฑ์ คําสั่งของรัฐบาล หรือข้อกําหนดภายใต้กฎหมายใด ๆ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ต้องแจ้งไปยังบริษัท ไฟเซอร์ จํากัด โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้บริษัท ไฟเซอร์ จํากัด สามารถขอให้มีคําสั่งคุ้มครอง ตามสมควรหรือการเยียวยาอื่น ๆ และไม่ว่าในกรณีใด ๆ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ต้องไม่เปิดเผยข้อตกลงเกี่ยวกับการเงินหรือการชดใช้ค่าเสียหายใด ๆ ที่ปรากฏอยู่ในสัญญาโดยไม่ได้รับความยินยอมอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้าจากบริษัท ไฟเซอร์ จํากัด เว้นแต่มีการกําหนดโดยคําสั่งศาลหรือคําสั่งทางปกครอง
ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามข้อกําหนดในสัญญาดังกล่าว กระทรวงสาธารณสุขจึงไม่อาจเปิดเผยสัญญาจัดซื้อวัคซีน ป้องกันโรคโควิด 19 ระหว่างประเทศไทยกับบริษัท ไฟเซอร์ จํากัด ต่อสาธารณชน ตามที่ท่านร้องขอได้
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
ขอแสดงความนับถือ
(นายพงศธร พอกเพิ่มดี)
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข
หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาการสาธารณสุข ปฏิบัติราชการแทนปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ด้านแหล่งข่าวจากกลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ เปิดเผยว่า จากหนังสือตอบกลับดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า ในที่สุด กรมควบคุมโรคก็ออกมายืนยันสิ่งที่ข้องใจ ไฟเซอร์ หักคอให้รัฐบาลไทย เซ็น “สัญญาทาส” ไม่อนุญาตให้ตรวจสอบ ที่น่าเศร้าคือข้าราชการของพระเจ้าอยู่หัว ที่กินเงินเดือนประชาชน กลับกลัวบริษัทยา หรือว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องความกลัว แต่เป็นเรื่อผลประโยชน์ทับซ้อนจำนวนมากที่ปิดปากอยู่ เพราะว่าถ้าเป็นข้าราชการที่ดีก็จะอ่านสัญญานั้นและพบว่า บริษัทยาทำผิดเงื่อนไขในสัญญา อันเป็นผลให้สัญญานั้นเป็นโมฆะ และไม่สามารถฟ้องร้องเอาผิดกับรัฐบาลไทย ได้
"แต่ในทางตรงกันข้าม หากผู้ที่รับผิดชอบไม่ได้เป็นข้าราชการที่ดี แต่เป็นผู้ที่รับผลประโยชน์จากบริษัทยา คนเหล่านั้นย่อมทำตามคำสั่งนายทุน พยามช่วยเหลือ ปกปิดความจริง ดังที่เห็นเป็นตัวอย่างในต่างประเทศ เขาลืมไปว่าความลับไม่มีในโลก ความจริงย่อมเป็นความจริงวันยังค่ำ เมื่อถึงเวลาการกระทำหรือกรรมของเขาจะสำแดงผลให้เขารับกรรมเหล่านั้นเอง จึงขอเตือนไปยังผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ ถ้าคิดว่า ตนใหญ่กว่ากรรมก็ให้ทำผิดไปอย่างเดิม แต่ถ้าสำนึกได้ว่าไม่มีใครใหญ่เกินกรรม ก็ขอให้กลับตัวกลับใจมายืนข้างประชาชน ทำสิ่งที่ถูกต้องโดยเร็ว" แหล่งข่าวระบุ