ยะลา - อดีตผู้ต้องขังหนุ่มกลับใจ หันหลังให้เส้นทางสีเทา ก่อนยึดอาชีพสุจริต ขายไก่เขย่าชิ้นละ 1 บาท หนึ่งเดียวในเมืองเบตง สร้างรายได้เลี้ยงครอบครัว พร้อมวอนขอสังคมให้โอกาสกับผู้ต้องขังที่พ้นโทษ
วันนี้ (25 ส.ค.) ในแต่ละปีมีนักโทษคดียาเสพติด ที่พ้นโทษออกมาจากเรือนจำเป็นจำนวนมาก จากโลกหลังกำแพง สู่โลกภายนอก การได้รับโอกาสให้ได้ทำงานในหน่วยงานต่างๆ หรือแม้แต่เป็นเพียงแค่ลูกจ้างร้านค้า ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับอดีตผู้ต้องขัง ทำให้ผู้พ้นโทษหลายคนต้องหวนกลับไปสู่วงจรของยาเสพติดครั้งแล้วครั้งเล่า หากใจไม่แข็งแกร่งพอ และไม่ได้รับกำลังใจจากครอบครัว หรือคนรอบข้าง ชีวิตคนเราเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ไม่ว่าจะเคยผ่านความเลวร้ายมาแค่ไหน ขอเพียงเก็บความทุกข์ที่ผ่านมาเป็นบทเรียน สร้างพลังฮึดสู้ต่อไป
เช่นเดียวกับ นายสุกฤษฎิ์ เขียวสุวรรณ หรือแจ็ค ชายหนุ่มวัย 29 ปี อดีตผู้ต้องขังคดียาเสพติด ที่เข้าออกเรือนจำอำเภอเบตง จังหวัดยะลา มาแล้วถึง 2 ครั้ง คือตัวอย่างของอดีตนักโทษที่เลือกทางใหม่ หลังพ้นโทษครั้งที่ 2 ตัดสินใจหันหลังให้เส้นทางสีเทาอย่างเด็ดขาด โดยหันมาทำอาชีพสุจริต ด้วยการสานต่องานค้าขายจากแม่ เปิดร้านรถเข็นขายไก่เขย่าชิ้นละ 1 บาท หนึ่งเดียวในเมืองเบตง ขายในตลาดไนท์บาซ่าเบตง ตั้งแต่เวลา 16.00-21.00 น. เปิดทุกวันไม่มีวันหยุด มีกลุ่มลูกค้าประจำ และลูกค้าใหม่ รวมถึงนักท่องเที่ยวแวะมาอุดหนุนอย่างต่อเนื่อง ขายไก่เขย่าแค่ชิ้นละ 1 บาท ส่วนปลายปีกไก่ขาย 5 ชิ้น 10 บาท มีรสชาติให้เลือก 3 รสชาติ คือ รสปาปีก้า ชีส และไก่แซ่บ รายได้ตกวันละประมาณ 2,000-2,500 บาท
นายสุกฤษฎิ์ หรือแจ๊ค เล่าให้ฟังว่า ชีวิตที่ผ่านมาไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ ไม่มีเป้าหมาย ทำงานรับจ้างหาเลี้ยงชีพไปวันๆ เท่านั้น สังคมที่อาศัยอยู่พัวพันกับยาเสพติด เมื่อโดนจับจึงได้รู้ว่าความทุกข์ระทมเป็นอย่างไร และยังทำให้ครอบครัวผิดหวัง สงสารแม่ที่ต้องทำงานหนักกว่าเดิม เพราะขาดคนหารายได้ไปอีกหนึ่งแรง ระหว่างอยู่ในเรือนจำเบตง ตนได้ฟังพระอาจารย์ ผู้สอนเป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิต ท่านชอบเล่าเรื่องของคนที่ลำบากให้ฟัง ตนเข้าใจความรู้สึกนั้นเป็นอย่างดี เพราะเคยอยู่ในจุดนั้นมาก่อน รู้ดีว่าความทุกข์เป็นอย่างไร นั่นเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ฮึดสู้ ตั้งใจว่าจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอีก และจะสร้างชีวิตใหม่ให้ดีกว่าเดิม เพราะตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตในเรือนจำ คนที่คอยให้กำลังใจและมาเยี่ยมคือ แม่ และเมื่อพ้นโทษมา ไม่อยากจะไปเพิ่มภาระให้แม่อีก และรู้ว่าถ้าออกมาจากเรือนจำ คงไม่มีใครกล้ารับเข้าทำงานอย่างแน่นอน เพราะมีรอยสักตามตัว ใครเห็นก็คงกลัว สิ่งเดียวที่ทำให้มีชีวิตอยู่ในสังคม และมีรายได้คือสานต่องานค้าขายจากแม่
นายสุกฤษฎิ์ บอกด้วยว่า อยากขอให้สังคมภายนอกยอมรับอดีตผู้ต้องขัง ผู้ที่เคยหลงผิดด้วย เพราะความเข้าใจ และโอกาสจากทุกคนสำคัญมาก อยากฝากถึงเด็กๆ เยาวชนวัยรุ่นทั้งหลายที่กำลังหลงผิด ขอให้กลับตัวกลับใจ ถ้าออกมาแล้วอยากจะให้ทำงานสุจริต อย่าเข้าไปยุ่งกับเส้นทางสีเทาอีกเลย เพราะมันไม่ดี มีแต่ผลเสีย ทำให้ครอบครัวเสียใจ ตัวเองก็ไม่มีอนาคตที่ดีได้