กรมควบคุมโรค เตือนปลายฝนต้นหนาวเสี่ยงพบป่วย "โรคติดเชื้อ RSV" เผย 9 เดือนที่ผ่านมา เฝ้าระวัง 3.2 พันราย ตรวจเจอ 523 ราย คิดเป็น 16% เกินครึ่งเป็นเด็กต่ำกว่า 2 ปี ที่เหลือเป็นเด็กอายุ 3-5 ปี 34% 6-15 ปี อีกก 9% ชี้เด็กเล็ก คลอดก่อนกำหนด สูงวัย 65 ปีขึ้นไปเสี่ยงอาการรุนแรง
เมื่อวันที่ 19 ต.ค. นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ช่วงปลายฝนต้นหนาวมีโอกาสพบโรคติดต่อได้หลายโรค หนึ่งในนั้น คือ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัส RSV ข้อมูลการเฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัส RSV ในผู้ป่วยกลุ่มอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่และกลุ่มอาการปอดบวมจาก รพ.เครือข่าย ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 30 ก.ย. 2565 มีการส่งตรวจตัวอย่างทั้งหมด 3,235 ตัวอย่าง พบเป็นเชื้อ RSV 523 ตัวอย่าง คิดเป็น 16.17% พบมากที่สุดในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี 52.2% รองลงมากลุ่มอายุ 3-5 ปี 34.03% และกลุ่มอายุ 6-15 ปี 9.37% นอกจากนี้ ยังพบกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป 2.1%
โรคติดเชื้อ RSV ก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจ ระบาดหนักในช่วงฤดูฝนถึงฤดูหนาว อาการคล้ายกับไข้หวัด แต่ก่อความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ติดต่อโดยตรงผ่านสารคัดหลั่ง น้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะของผู้ป่วย ผู้ติดเชื้ออาจจะมีอาการเล็กน้อยเหมือนไข้หวัด ได้แก่ น้ำมูก เจ็บคอ บางรายมีอาการรุนแรง คือ หายใจเร็ว หายใจลำบาก หรือหายใจมีเสียงหวีด หอบเหนื่อยเนื่องจากปอดอักเสบ กินอาหารได้น้อย ซึมลง พบได้ในทุกกลุ่มอายุ แต่อาการจะรุนแรงในเด็กเล็ก เด็กคลอดก่อนกำหนด ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น เบาหวาน โรคปอด โรคหัวใจ หรือภูมิคุ้มกันต่ำหรือบกพร่อง
นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การป้องกันติดเชื้อและลดการแพร่กระจาย ขอให้ผู้ปกครองหมั่นสังเกตอาการบุตรหลาน เน้นย้ำล้างมือเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ ไม่ควรใช้มือที่ไม่สะอาดมาสัมผัสใบหน้า ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกัน ทำความสะอาดสิ่งของเครื่องใช้เป็นประจำ แยกผู้ป่วยออกจากคนปกติไม่ให้คลุกคลีกัน เนื่องจากผู้ป่วยเด็กเล็กหรือสูงอายุจะมีการรุนแรงกว่าคนทั่วไป หากมีอาการป่วยควรหยุดพัก สวมหน้ากากอนามัย ปิดปาก และจมูกเมื่อไอ หรือจาม ควรดื่มน้ำมากๆ ช่วยทำให้เสมหะหรือน้ำมูกไม่เหนียวจนเกินไป อาการจะดีขึ้นหลังรักษาเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ หากอาการไม่ดีขึ้น เช่น หอบเหนื่อย หายใจเร็วหรือมีเสียงหวีด ในเด็กอาจพบอาการตัวเขียว ควรรีบพาไปพบแพทย์ เพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงถึงเสียชีวิตได้