“อนุทิน” เผย โควิดไทยยังทรงตัว เตรียม “เจอ แจก จบ” ดูแลกลุ่มสีเขียว รองรับติดเชื้ออาจพุ่งช่วงหลังสงกรานต์ เร่งฉีดวัคซีนลดเสี่ยงอาการรุนแรง-ดับ ยันระบบดูแลรักษามีความพร้อม 3 พอ ทั้งเตียงพอ ยาพอ และหมอพอ
เมื่อวันที่ 23 เม.ย. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์โรคโควิด-19 ของประเทศไทยยังทรงตัว ติดเชื้อประมาณวันละ 2 หมื่นราย หลังเทศกาลสงกรานต์ยังต้องติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์การติดเชื้อต่ออีก 2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม สธ.ได้เตรียมพร้อมรองรับการดูแลผู้ติดเชื้อ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอาการสีเขียว คือ ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย โดยมีระบบการดูแลแบบผู้ป่วยนอกและแยกกักที่บ้าน หรือ เจอ แจก จบ ซึ่งสามารถรับบริการได้ในสถานพยาบาลและร้านยาที่เข้าร่วมโครงการของ สปสช. นอกจากนี้ ยังสามารถติดต่อเพื่อขอเข้าระบบ Home Isolation ได้เช่นกัน
“สิ่งสำคัญคือต้องลดผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองและสีแดงที่จะมีความเสี่ยงอาการรุนแรงและเสียชีวิตลงให้น้อยที่สุด โดยเร่งรณรงค์ให้ประชาชนมารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั้งเข็มปกติและเข็มกระตุ้น โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง คือ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวว่า ส่วนกรณีติดเชื้ออาการรุนแรง ได้เตรียมความพร้อมรองรับ 3 พอ คือ 1. เตียงพอ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากประชาชนที่ติดเชื้อไม่มีอาการหรืออาการน้อย เข้าสู่ระบบการดูแลรักษาที่บ้าน ทำให้มีอัตราครองเตียงสีเหลืองและสีแดงใน รพ.ประมาณ 30% หากจังหวัดใดเริ่มมีอัตราครองเตียงสูงเกิน 50% จะมีการขยายเตียงรองรับเพิ่มขึ้น 2. ยา/วัคซีนพอ มีทั้งยารักษาตามอาการ ยาฟ้าทะลายโจร และยาต้านไวรัสต่างๆ คือ ฟาวิพิราเวียร์, เรมดิซิเวียร์, โมลนูพิราเวียร์ และ แพกซ์โลวิด ซึ่งผู้ป่วยทุกรายไม่จำเป็นต้องได้รับยาต้านไวรัส บางส่วนหายเองได้ การใช้ยาจึงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์ในการเลือกจ่ายยาที่เหมาะสมกับผู้ป่วย และ 3. หมอพอ มีบุคลากรทางการแพทย์พร้อมให้การดูแลรักษา ทั้งนี้ สธ.จะบริหารจัดการทั้ง 3 ด้านให้มีความเพียงพอเพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าจะได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
“สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มแรกสามารถฉีดได้ประมาณ 56 ล้านคน คิดเป็นประมาณ 85% เหลือผู้ที่ยังไม่มารับการฉีดวัคซีน 9-10 ล้านคน ต้องเร่งรณรงค์ให้มารับวัคซีนเพิ่มขึ้น ส่วนการฉีดเข็มกระตุ้นในผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป อยู่ที่ 39.7% ซึ่งไม่ถือว่าน้อย เพราะส่วนหนึ่งยังไม่ถึงกำหนดเข้ารับเข็มกระตุ้น โดยคนที่ถึงกำหนดฉีดเข็มกระตุ้นและได้รับการฉีดแล้วอยู่ที่ประมาณ 70%” นายอนุทิน กล่าว