สธ.ห่วงกลุ่ม “ไม่ตรวจ-ไม่บอก-ไม่กัก” เสี่ยงทำติดโควิดสูงขึ้น พบบางส่วนไม่รอผลตรวจ แต่ออกไปเที่ยว ย้ำ ช่วยกันบล็อกอย่าให้ “สูงวัย-โรคประจำตัว” ติดเชื้อ หวั่นเพิ่มป่วยหนักและเสียชีวิต แนะ 2 สัปดาห์นี้ เข้มใส่หน้ากากในบ้าน แยกกันกิน พาไปฉีดวัคซีน
เมื่อวันที่ 19 เม.ย. นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผอ.กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีปัญหาการไม่ตรวจหาเชื้อ ตรวจพบเชื้อแล้วไม่บอก และไม่กักตัวยังมีการเดินทางไปทั่ว ว่า พฤติกรรมเหล่านี้จะทำให้ยอดติดเชื้อสูงขึ้น จนอาจขยับไปสู่อีกเส้นคาดการณ์ ซึ่งอาจจะสูงถึงขั้นเส้นสีแดงก็เป็นไปได้ เพราะไม่ตรวจก็จะไม่ทราบเลย อย่างไรก็ตาม การไม่ตรวจไม่บอกไม่กัก เราอาจไปห้ามเขาไม่ได้ แต่สิ่งที่ต้องให้ความรู้อย่างมาก คือ ทุกคนต้องระวังและต้องคิดถึงคนอื่นด้วย หากมีความเสี่ยงต้องอย่าไปแพร่ให้ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ คือ ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
“ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา เป็นกลุ่มวัยทำงานที่ออกไปมีกิจกรรมรวมตัว แต่โอกาสติดเชื้ออาการรุนแรงหรือ ป่วยหนักไม่มาก เพราะฉีดวัคซีนแล้ว หลายคนบูสต์เข็ม 3-4 ไปแล้ว ที่กังวลคือ การไปแพร่ต่อกลุ่มสูงวัย ถ้าบล็อกตรงนี้ได้ ก็จะไม่แพร่ไปต่อ ลดการป่วยหนักและเสียชีวิต ซึ่งตัวเลขป่วยหนักและเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นตอนนี้เป็นผลพวงจากการติดเชื้อจำนวนมากก่อนสงกรานต์ ทำให้ไปแพร่ไปสู่กลุ่มเสี่ยง ทำให้ติดเชื้ออาการรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และบล็อกไม่ทันเพราะกลุ่มเสี่ยงก็ฉีดวัคซีนน้อย” นพ.จักรรัฐ กล่าว
นพ.จักรรัฐ กล่าวว่า การป้องกันไม่ให้วัยทำงานแพร่ไปสู่กลุ่มเสี่ยง คือ 1. สวมหน้ากากอนามัยในที่ทำงานเพื่อบล็อกตัวเอง ตรวจ ATK ก่อนเข้าทำงานช่วยบล็อกกันเอง เมื่อพบผู้สูงวัยต้องสวมหน้ากากตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงอยู่บ้านด้วยกัน 5 วันแรกต้องใส่หน้ากากคุยกัน แยกรับประทานอาหาร นอนคนละห้อง 2. ผู้สูงวัยไปฉีดวัคซีนป้องกัน และ 3. ผู้สูงอายุที่เจอกันเอง ต้องป้องกันตนเองใส่หน้ากากตลอดเวลา เลี่ยงการรับประทานอาหารด้วยกัน เพราะสูงวัยบ้านนี้อาจติดจากลูกหลานแล้วมาติดกับอีกบ้านที่ไม่ได้ติดจากลูกหลาน
“ต้องขอให้ผู้สูงวัยใส่หน้ากากด้วย เพราะส่วนใหญ่อยู่บ้านจะไม่อยากใส่หน้ากาก จึงอาจต้องรณรงค์ผู้สูงวัยใส่หน้ากากขณะเจอหรือใกล้ชิดคนอื่นด้วย ซึ่งตอนนี้จำเป็นมากในช่วง 2 สัปดาห์นี้ เจอใครขอให้ใส่หน้ากากก่อน” นพ.จักรรัฐ กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีสถานบันเทิงที่เริ่มกลับมาเปิดช่วงสงกรานต์ และอาจเปิดดำเนินการต่อ จะกระทบเรื่องผู้ติดเชื้อจากการที่คนออกมาเที่ยวมากขึ้นหรือไม่ นพ.จักรรัฐ กล่าวว่า ยังผิดกฎหมายอยู่หรือไม่ ตรงนี้อยู่ที่ตำรวจ ก็ต้องเป็นไปตามมาตรการกฎหมาย ทั้งนี้ การระบาด 3 ระลอกแรกที่ผ่านมา ประเทศไทยติดเชื้อจากการไปเที่ยวสถานบันเทิงเยอะมาก ระลอกนี้เราบล็อกสถานบันเทิงมาตลอด เพิ่งมาเริ่มช่วงนี้ไปเที่ยวสถานบันเทิงมากขึ้น แต่หลายแห่งกังวลก็พยายามวางมาตรการลดความเสี่ยง หลายแห่งก็ยังลักลอบอยู่ อาจจะไม่ได้ระวังเต็มที่ ก็ต้องสื่อสารให้คนไปเที่ยวเข้าใจแทน สำคัญคือไม่ให้คนทำงานเอาไปติดสูงวัย เพื่อลดการตาย
“ขณะที่มีรายงานเข้ามาจำนวนมาก บางคนตรวจไม่รอฟังผลทั้ง ATK หรือ RT-PCR ออกมาใช้ชีวิตก่อน มาร่วมกิจกรรมก่อน ขอไปเที่ยวก่อน พอผลออกแล้วไปกักตัวก็แพร่ไปแล้ว ซึ่งเราจะไม่เห็นลักษณะคลัสเตอร์ เพราะไปเที่ยวและกลับบ้านไปแล้ว การสอบสวนคลัสเตอร์ขนาดใหญ่อาจเป็นเรื่องยากในระยะนี้ที่มีการแพร่กระจายเป็นวงกว้างไปแล้ว จะเจอก็ตอนไป รพ.ไปรับการรักษา แต่ตอนนี้ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ ที่รับรักษาจะเป็นกลุ่ม 608 จังหวัดไหนที่ติดเชื้อ 608 เพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยเฝ้าระวังต่อว่า เขาไม่ได้บล็อกหรือไม่ ก็ต้องวางมาตรการบล็อกส่วนนี้ให้มากขึ้น ไม่ให้วัยทำงานไปแพร่สูงวัย” นพ.จักรรัฐ กล่าว