กทม. เผยกำหนดฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ผู้ประกอบการและพนักงานของสถานประกอบการที่เปิดดำเนินกิจการในพื้นที่ 50 เขต ในวันที่ 9 พ.ย. 64 เวลา 09.30 น. ณ อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) เขตดินแดง
วันนี้ (4 พ.ย.) พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุมหัวหน้าหน่วยงานของกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 11/2564 โดยมีคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร หัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกรุงเทพมหานคร และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล ณ ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) เขตพระนคร
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากการเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. ที่ผ่านมา ประกอบกับมีการผ่อนปรนให้สถานประกอบการบางประเภทกลับมาเปิดกิจการได้ โดยให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด และสิ่งสำคัญและจำเป็นในการป้องกันโควิด-19 คือ ผู้ประกอบการและพนักงานของสถานประกอบการนั้นๆ ได้รับวัคซีนครบทุกคน เนื่องจากจะต้องมีการพบปะพูดคุยและให้บริการแก่ผู้ที่มาใช้บริการในสถานบริการนั้นๆ ที่ประชุมเห็นควรให้กำหนดฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ผู้ประกอบการและพนักงานของสถานประกอบการที่เปิดดำเนินกิจการในพื้นที่ 50 เขต ในวันที่ 9 พ.ย. 64 เวลา 09.30 น. เป็นต้นไป ณ อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) เขตดินแดง จึงได้มอบหมายให้สำนักงานเขตลงพื้นที่สำรวจว่าสถานประกอบการที่เปิดกิจการในพื้นที่ตนมีใครที่ยังไม่ได้รับวัคซีนบ้าง หากพบให้แจ้งเข้ารับวัคซีนตามวัน เวลา และสถานที่ที่กำหนด ซึ่งวัคซีนที่ทางกรุงเทพมหานครจะจัดฉีดให้แก่สถานประกอบการและพนักงานในพื้นที่นั้น เข็มที่ 1 เป็นวัคซีนซิโนแวค เข็มที่ 2 เป็นวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า
นอกจากนี้ ในที่ประชุมได้มีการรายงานผลการตรวจสอบ กำกับติดตามการเปิดสถานที่ ตามประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่องสั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 45) ลงวันที่ 30 ตุลาคม 2564 ในพื้นที่ 50 เขต ซึ่งจากการลงพื้นที่ของชุดตรวจปฏิบัติการร่วม (เทศกิจ สิ่งแวดล้อม พัฒนาชุมชน ร่วมกับ ตำรวจ และทหาร) ระหว่างวันที่ 1-2 พฤศจิกายน 2564 ได้ทำการตรวจสถานที่ทั้งหมด 1,493 แห่ง พบว่าทุกแห่งให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ด้วยดี แต่ได้มีการตรวจพบสถานประกอบกิจการไม่ปฏิบัติตามประกาศฯ จำนวน 175 แห่ง ในเบื้องต้นชุดตรวจปฏิบัติการร่วมได้ทำการตักเตือนและแนะนำให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามมาตรการป้องกันโควิด-19 เพื่อร่วมกันป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหากยังพบการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามประกาศฯ หรือมาตรการป้องกันโควิด-19 ซ้ำก็จะมีการดำเนินการตามกฎหมายต่อไป