อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เผย ผลการเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด-19 พบโควิดเดลตายังครองไทย ย้ำยังไม่เจอสายพันธุ์อื่น ภาคใต้เผชิญ 3 สายพันธุ์ เตรียมเก็บตัวอย่างตรวจเพิ่มขึ้นใน 4 จังหวัด หวั่นกลายพันธุ์ ยังมั่นใจ ATK แจกฟรีเอาอยู่ เตรียมพร้อมร่วมเครือข่ายถอดรหัสพันธุกรรมทั่วประเทศ ลงฐานข้อมูลสากล GISAID
วันนี้ (11 ต.ค.) นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยผลการเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด-19 ในประเทศไทย โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ เครือข่ายห้องปฏิบัติการว่า ข้อมูลการเฝ้าระวังทั้งประเทศ ระหว่าง 2-8 ตุลาคม 2564 จากการสุ่มตรวจผู้ติดเชื้อทั้งหมด 599 ราย เป็นสายพันธุ์เดลตา (อินเดีย) จำนวน 584 ราย (97.5%) สายพันธุ์อัลฟา (อังกฤษ) จำนวน 13 ราย (2.17%) และสายพันธุ์เบตา (แอฟริกาใต้) จำนวน 2 ราย (0.33%) โดยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สุ่มตรวจจำนวน 83 ราย เป็นสายพันธุ์เดลตา จำนวน 82 ราย (98%) สายพันธุ์อัลฟา จำนวน 1 ราย (2%) ส่วนสายพันธุ์เบตา ไม่พบผู้ติดเชื้อ ส่วนภูมิภาคสุ่มตรวจจำนวน 516 ราย เป็นสายพันธุ์เดลตา 502 ราย (97.3%) สายพันธุ์อัลฟา 12 ราย (2.3%) และสายพันธุ์เบตา 2 ราย (0.4%)
สำหรับในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนใต้ ที่มีการแพร่ระบาดค่อนข้างมากนั้น พบว่า ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์เดลตา ขณะนี้ได้ประสานแจ้งจังหวัดร่วมกับศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา เก็บตัวอย่างในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนใต้เพิ่มเติม เพื่อให้ได้จำนวนตัวอย่างของแต่ละจังหวัดมากขึ้น และตรวจดูว่าสัดส่วนสายพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงไหม รวมถึงแต่ละจังหวัดมีสายพันธุ์แตกต่างกันหรือไม่อย่างไร ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และเครือข่ายห้องปฏิบัติการ ยังคงมีการเฝ้าระวังสายพันธุ์และการกลายพันธุ์ของเชื้อในพื้นที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ยังไม่พบการกลายพันธุ์ของเชื้อแต่อย่างใด
นายแพทย์ศุภกิจ กล่าวต่ออีกว่า ขณะนี้มีข่าวดีที่อังกฤษได้ปลดประเทศไทยออกจากบัญชีแดง หรือ Red List แล้ว สืบเนื่องจาก ท่านอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้หารือกับ นายมาร์ค กูดดิ้ง เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ถึงประเด็นสำคัญที่ไทยต้องรีบดำเนินการ 2-3 ประเด็น เช่น ไทยยังมีอัตราการรายงานข้อมูลการตรวจสายพันธุ์โควิด-19 ไม่มากพอ และยังไม่สม่ำเสมอ รวมทั้งมีอัตราการตรวจเชื้อและสายพันธุ์ในกลุ่มประชากรในระดับไม่สูงพอ ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตรอังกฤษประจำประเทศไทยเน้นย้ำให้ฝ่ายไทยเร่งดำเนินการ ดังนั้น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และเครือข่ายที่ช่วยกันตรวจสายพันธุ์ได้ตกลงกันว่าเมื่อตรวจเสร็จจะรายงานทุกสัปดาห์ลงในฐานข้อมูลสากล (GISAID) โดยมีการตรวจติดตามสายพันธุ์ด้วยการถอดรหัสพันธุกรรมตัวอย่างทั่วประเทศ 450 ตัวอย่างต่อสัปดาห์ โดยตัวอย่างที่เก็บมาจากหลักเกณฑ์ที่ดำเนินไว้ร่วมกับกรมควบคุมโรค เช่น มาจากตัวอย่างคนไข้หนัก จากผู้เดินทางมาทางตะเข็บชายแดน รวมถึงคนที่เดินทางจากต่างประเทศ เป็นต้น ผลจากการรายงานที่ผ่านมาของประเทศไทยขณะนี้มียอดการรายงานที่ 4,173 ตัวอย่าง
นอกจากนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยังได้ร่วมกับเครือข่ายห้องปฏิบัติการเผยแพร่ข้อมูลทางเว็บไซต์ ทั้งของกรมวิทยาศาตร์การแพทย์ ของ GISAID และของศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อให้เป็นข้อมูลที่สาธารณะสามารถเข้าถึงได้
สำหรับประเด็นการใช้ ATK ตรวจแล้วเกิดผลลบลวงค่อนข้างมาก ขอย้ำว่า การตรวจด้วย ATK เป็นเพียงชุดตรวจคัดกรองเบื้องต้น การที่มีผลลบลวงไม่ได้เกิดจากคุณภาพของชุดตรวจ แต่เป็นข้อจำกัดของเครื่องมือ เช่น ถ้าตรวจเร็วเกินไปเชื้อจะยังไม่เพิ่มจำนวนก็จะตรวจไม่เจอ เพราะ ATK ความไวน้อยกว่า RT-PCR หรือถ้าเชื้อน้อยแล้วตรวจด้วย ATK ก็จะไม่เจอ ดังนั้น สิ่งที่เราเน้นย้ำคือต้องมีการตรวจซ้ำ 3-5 วัน หรือเมื่อมีอาการ เช่น มีไข้ ไอ คล้ายหวัด นอกจากนี้ หากเก็บตัวอย่างไม่ถูกต้องหรือไม่ปฏิบัติตามคู่มือที่ชุดตรวจกำหนดก็อาจได้ผลคลาดเคลื่อน เป็นต้น