กระทรวงสาธารณสุข เผยฉีดวัคซีนแล้วกว่า 58 ล้านโดส คาดเดือนตุลาคมฉีดครอบคลุมร้อยละ 60 ตามเป้าหมาย ส่งวัคซีนเพิ่มระดมฉีดพื้นที่เสี่ยง 4 จังหวัดชายแดนใต้ภายในสัปดาห์หน้า ยืนยันวัคซีนไฟเซอร์ทยอยเข้าล็อตละ 1.5 – 2 ล้านโดส เพียงพอสำหรับนักเรียนที่ต้องการฉีด 4 วันที่ผ่านมาฉีดแล้ว 1.5 แสนโดส ยังไม่พบอาการข้างเคียงรุนแรง
วันนี้ (8 ต.ค.) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงความคืบหน้าการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ว่า วานนี้ (7 ตุลาคม 2564) ฉีดวัคซีนได้ 911,677 โดส รวมฉีดสะสม 58,298,770 โดส เป็นแอสตร้าเซนเนก้ามากที่สุด 26 ล้านโดส ซิโนแวค 20 กว่าล้านโดส ซิโนฟาร์ม 9 ล้านโดส และไฟเซอร์ 1.7 ล้านโดส คาดว่าภายในเดือนตุลาคมนี้จะฉีดได้ครอบคลุมไม่น้อยกว่า 60 % ตามเป้าหมาย
สำหรับวัคซีนไฟเซอร์ที่ซื้อ 30 ล้านโดส จะทยอยส่งครั้งละ 1.5 – 2 ล้านโดส ล็อตแรกถึงเมื่อ 29 กันยายนได้นำไปฉีดให้นักเรียนแล้ว ล็อต 2 ถึงเมื่อวันพุธที่ผ่านมา 1.5 ล้านโดส กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัยแล้ว อยู่ระหว่างจัดส่งให้รพ.ทุกอำเภอ และสัปดาห์หน้าจะมาอีก 1.5 ล้านโดส ยืนยันมีเพียงพอสำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่าที่ผู้ปกครองแจ้งความประสงค์ไว้ประมาณ 4 ล้านคน โดยโรงพยาบาลจะประสานกับโรงเรียนเพื่อนัดหมายการฉีดต่อไป ไม่ได้เป็นตามข่าวว่ามีวัคซีนไม่พอต้องจับฉลาก เพียงแต่ในช่วงแรกส่งไปประมาณ 40 % ของนักเรียน และจะทยอยส่งให้จนครบ พร้อมเตรียมไว้สำหรับฉีดเข็ม 2 ในอีก 3 สัปดาห์แล้ว
นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า ภาพรวมทั้งประเทศมีผู้ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม 47.5% ในพื้นที่ควบคุมเข้มงวดและสูงสุด 29 จังหวัด ครอบคลุม 62% สูงสุดที่กทม. ปทุมธานี เป็นการฉีดสูตรหลักซิโนแวคตามด้วยแอสตร้าเซนเนก้า ห่างกัน 3 สัปดาห์ ซึ่งช่วยให้ภูมิคุ้มกันขึ้นสูงและเร็ว รับมือกับสายพันธุ์เดลตา ส่วนกลุ่มเสี่ยงคือ ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค หญิงตั้งครรภ์ ครอบคลุมประมาณ 66% สำหรับพื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ นราธิวาส สงขลา ปัตตานี และยะลา ที่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ประมาณ 20% ของผู้ป่วยทั้งหมด ขณะนี้ฉีดครอบคลุม 30-40 % ได้ส่งวัคซีนให้เพิ่มเติมเพื่อระดมฉีดในพื้นที่ระบาดสัปดาห์หน้า ขณะเดียวกันได้เร่งเฝ้าระวัง สอบสวน ควบคุมโรค แยกผู้ติดเชื้อออกจากชุมชนและนำเข้าระบบรักษา กักตัวผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ส่วนกลุ่มเสี่ยง 608 ฉีดได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ เช่น สงขลา 65% ยะลา 56% นราธิวาส 50% ปัตตานี 48% ขอเชิญชวนให้มารับการฉีดวัคซีนช่วงสัปดาห์หน้า ซึ่งจะช่วยลดการป่วยหนักและเสียชีวิตได้
สำหรับกลุ่มนักเรียนอายุ 12-17 ปี ได้รับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์เข็มแรกแล้วมากกว่า 150,000 คน หรือประมาณร้อยละ 3 ของกลุ่มเป้าหมาย จากการติดตามอาการที่อาจเกิดขึ้นได้หลังการฉีดวัคซีนตั้งแต่เริ่มฉีดเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา พบอาการไม่พึงประสงค์จำนวนไม่มาก ส่วนใหญ่มีอาการเล็กน้อยที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น เจ็บ ปวด ร้อนบริเวณที่ฉีด เวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม คลื่นไส้ อาเจียน หลังได้รับการปฐมพยาบาลอาการกลับมาเป็นปกติ ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนรวมกันในโรงเรียน เด็กอาจกลัวหรือเกิดอุปทานหมู่ได้ จึงควรจัดพื้นที่ฉีดวัคซีนให้โปร่ง ไม่แออัด หรือเปิดเพลงเพื่อความผ่อนคลาย ครูหรือบุคลากรทางการแพทย์ควรให้ข้อมูลอาการที่อาจเกิดขึ้นหลังได้รับการฉีดวัคซีน เช่น ใจสั่น แน่น/เจ็บหน้าอก หอบเหนื่อย เป็นลม หมดสติ ซึ่งมีโอกาสพบได้น้อย ส่วนอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ที่ผ่านมาประเทศไทยพบ 3 รายที่เกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีน อาการไม่รุนแรงและรักษาหาย สำหรับวัคซีนที่จะฉีดให้เด็กอายุ 5 - 11 ปี ขณะนี้ยังไม่มีบริษัทใดมายื่นเอกสารขึ้นทะเบียนกับ อย.ไทย เพื่อปรับข้อบ่งชี้ในการใช้วัคซีน มีเพียงผลการศึกษาวิจัยจากต่างประเทศว่าวัคซีนไฟเซอร์ใช้ได้ผลดีในกลุ่มอายุ 5-11 ปีเท่านั้น
“สถานการณ์โควิดในประเทศขณะนี้ ผู้ติดเชื้อรายใหม่คงยังมากกว่า 1 หมื่นรายต่อวัน วันนี้มีรายงานผู้เสียชีวิตร้อยกว่าราย ถือว่าสถานการณ์ยังคงทรงตัวและยังน่าเป็นห่วง และเนื่องจากขณะนี้มีการเร่งฉีดวัคซีนจำนวนมาก ผู้ติดเชื้ออาจจะไม่มีอาการได้ จึงขอความร่วมมือประชาชนเข้มงวดการป้องกันตนเองสูงสุด กับทุกคน ทุกที่ ทุกเวลา ต้องคิดว่าเรายังมีโอกาสที่จะเจอผู้ติดเชื้อได้ จึงควรระมัดระวังตนเองไม่ไปรับเชื้อและแพร่เชื้อให้ผู้อื่น เพื่อไม่ให้โควิด-19 กลับมาแพร่ระบาด ทุกคนได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติในรูปแบบนิวนอร์มอล” นพ.โสภณกล่าว