รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สุดปลื้ม “วันมหิดล” ฉีดวัคซีนทั่วไทยทะลุล้าน เผยทั่วไทยฉีดวัคซีนโควิดสะสมทะลุ 50 ล้านโดสแล้ว สิ้นปีมีวัคซีน 125 ล้านโดส เร่งฉีดบูสเตอร์โดส ให้ผู้ที่ได้รับซิโนแวค 2 เข็มกรมควบคุมโรค คาด ต.ค.เป็นต้นไป ย้ำตั้งเป้าเดือน ธ.ค. มีคนไทยได้รับวัคซีน 60 ล้านคน คิดเป็น 85%
วันนี้ (25 ก.ย.) เมื่อเวลา 11.15 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 24 กันยายน เป็นวันมหิดลในทุกปีกระทรวงสาธารณสุขจะจัดกิจกรรมที่เป็นสาธารณประโยชน์ต่างๆ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ซึ่งเป็นพระบิดาการแพทย์แผนปัจจุบัน ในปีนี้ได้มีการรณรงค์ให้มีการฉีดวัคซีนเนื่องในวันมหิดลให้ครบ 1 ล้านโดส ให้กับประชาชนทั่วไป แต่ด้วยความร่วมมือร่วมใจและความตั้งใจของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ตลอดจนความร่วมมือที่ดีของประชาชนชาวไทยทุกคน ทำให้เมื่อวานนี้สามารถฉีดวัคซีนได้มากกว่า 1.3 ล้านโดส รู้สึกดีใจมากที่สามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงประสิทธิภาพการสาธารณสุขไทย
นับว่าน่าจะเป็นสิ่งที่สร้างความมั่นใจให้ประชาชน ว่า หากร่วมใจกันมาฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้ว ศักยภาพของระบบสาธารณสุข พร้อมที่จะรับใช้และให้บริการกับทุกคนได้ จนถึงเมื่อวานนี้ มีตัวเลขใหม่ให้เกิดความมั่นใจ อุ่นใจต่อประชาชน ว่า ได้ฉีดวัคซีนสะสมทั้งหมดทั่วประเทศเกิน 50 ล้านโดสแล้ว มีทั้งฉีดเข็มที่ 1 เข็มที่ 2 และเข็มที่ 3 โดยเมื่อวานเป็นการเริ่มให้บริการวัคซีนบูสเตอร์เข็มที่ 3 แก่ประชาชนที่ฉีดซิโนแวค 2 เข็มแรก เพื่อเสริมความมั่นใจว่าจะมีภูมิต้านทานอยู่ในระดับที่ปลอดภัยสำหรับการรองรับสายพันธุ์เดลตาได้ จึงได้ฉีดบูสเตอร์เข็มที่ 3 เมื่อวานได้ฉีดไปทั้งหมด 1.5 กว่าแสนคน ไม่รวมบุคลากรการแพทย์ที่ได้รับบูสเตอร์เข็มที่ 3 ไปก่อนหน้านี้แล้ว
“จากนี้เป็นต้นไปขอให้ผู้ที่ได้รับวัคซีนซิโนแวค 2 เข็ม ตั้งแต่ช่วงมีนาคม-มิถุนายน ขอให้ลงทะบียนนัดรับการฉีดเข็มที่ 3 เพื่อความปลอดภัย เสริมภูมิคุ้มกันโรคให้มีความอุ่นใจว่าปลอดภัยจากการคุกคามของโควิดแน่นอน” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวอีกว่า สำหรับสถานการณ์วัคซีนจากนี้ไปถึงสิ้นปี 2564 ขอให้มั่นใจว่า กระทรวงสาธารณสุขโดยกรมควบคุมโรคได้ทำการจัดหาวัคซีนได้ตามเป้าหมายที่วางแผนไว้ จะมีวัคซีนทั้งสิ้นจนถึงเดือนธันวาคม ประมาณ 125 ล้านโดส และตั้งแต่ตุลาคมนี้เป็นต้นไป จะเร่งฉีดให้ครอบคลุมประชาชนคนไทยทุกคน ครบครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร เพื่อจะได้กลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติสุข และสามารถดำเนินชีวิต เสริมสร้างรายได้ ผลักเศรษฐกิจ สร้างสังคม สร้างความเข้มแข็ง ความแข็งแกร่งของบ้านเมืองให้กลับมาโดยเร็ว
“พวกเรากระทรวงสาธารณสุขทุกคน บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข มีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นข้ารับใช้ของสมเด็จพระราชบิดา เราจะสานต่อเจตนารมณ์ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท สืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จบรมราชชนก ซึ่งได้ทรงมีพระราชดำรัสไว้ว่า ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นที่หนึ่ง แล้วความสำเร็จ ลาภ ทรัพย์ เกียรติยศจะตกกับตัวท่านเอง” นายอนุทิน กล่าว
“เราไม่ได้มีความมุ่งหวังในลาภทรัพย์ หรือเกียรติยศ แต่เรามีความตั้งใจและมุ่งหวังให้ประชาชนมีควาปลอดภัย มีสุขภาพชีวิตที่ดี ห่างไกลโรค มีชีวิตยืนยาว และสามารถสร้างความเป็นปึกแผ่น มั่นคงต่อครอบครัว และประเทศของเรา ผมในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขขอขอบุคณประชาชนชาวไทย มีความร่วมมือในการป้องกันควบคุมโรคให้ปลอดภัย อยู่ห่างจากการคุกคามของโรคโควิด ขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุขทุกคนที่ได้ทุ่มเทเสียสละอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในการให้บริการ ทั้งเรื่องการรักษา พยาบาลป้องกัน ควบคุมโรค การฉีดวัคซีน มั่นใจว่าทุกคนจะไม่ท้อถอย ตั้งใจที่จะต่อสู้กับโรคร้ายนี้ จนเราจะเอาชนะมันได้มากที่สุด” รมว.สธ.กล่าว
ด้าน นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เฉพาะวันที่ 24 กันยายน เนื่องในวันมหิดล ฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วประเทศรวม 1,300,677 โดส เป็นเข็มแรก 841,769 โดส เข็มที่สอง 309,429 โดส และเข็มสาม 149,479 โดส โดยมี 7 เขตสุขภาพที่ฉีดได้เกิน 1 แสนโดส มากที่สุดคือ เขตสุขภาพที่ 6 จำนวน 148,887 โดส โดย กทม.ฉีดมากที่สุด 64,880 โดส รองลงมาคือ ชลบุรี 48,316 โดส อุดรธานี 47,110 โดส นครราชสีมา 44,863 โดส และเชียงใหม่ 39,214 โดส ทั้งนี้ ประเทศไทยฉีดวัคซีนมาถึงครึ่งทางจากเป้าหมาย 100 ล้านโดส ครอบคลุม 50 ล้านคน ปัจจุบันฉีดได้ 50,080,565 โดส เป็นเข็มแรก 44.45% ครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า วันนี้มีผู้ป่วยหายกลับบ้าน 14,700 คน สะสม 1,408,602 คน มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 11,975 คน มาจากต่างประเทศ 19 คน และติดเชื้อในประเทศ 11,956 คน แนวโน้มลดลงเรื่อยๆ เช่นเดียวกับผู้ป่วยอาการรุนแรงและใส่เครื่องช่วยหายใจก็ลดลง ซึ่งมาตรการต่างๆ ทั้งการป้องกันตนเองตลอดเวลา และการฉีดวัคซีนจะช่วยลดจำนวนผู้เสียชีวิตได้ โดยตั้งแต่เดือนกันยายนฉีดเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด และเมื่อปรับสูตรการฉีดเป็นสูตรไขว้ซิโนแวคตามด้วยแอสตร้าเซนเนก้าจะทำให้การฉีดเข็ม 2 ได้ครอบคลุมเร็วขึ้น โดยเดือนตุลาคมจะฉีดให้ได้ 30 ล้านคน คิดเป็น 45% เดือนพฤศจิกายน 42 ล้านคน คิดเป็น 60% และธันวาคม 52 ล้านคน คิดเป็น 74% ถือว่าเกินแผนและเป้าหมายที่วางไว้ รวมถึงจะทยอยฉีดวัคซีนเข็ม 3 ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน ประเทศไทยจะเข้าสู่ความปลอดภัยจากโควิดอีกประเทศในโลก
นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ตอนนี้วัคซีนจะมีทยอยเข้ามาอย่างมีจำนวนมาก เพียงพอที่จะเร่งฉีดให้ครอบคลุมกับประชาชนทุกกลุ่มได้ โดยเฉพาะวัคซีน mRNA ของไฟเซอร์ที่รัฐบาลได้จัดหามาทั้งหมด 30 ล้านโดส จะทยอยเข้ามาตั้งแต่สิ้นเดือนกันยายนนี้ถึงสิ้นปีนี้ โดยจะฉีดให้เด็กอายุ 12-18 ปีที่อยู่ในวัยเรียน ให้ผู้ปกครองพิจารณาให้เด็กๆ ได้มารับวัคซีนไฟเซอร์ สามารถเพื่อให้เรียนหนังสือได้ และโรงเรียนจะได้เปิดการเรียนการสอบเป็นปกติให้เร็วที่สุด โดยพร้อมฉีดไฟเซอร์ตั้งแต่สิ้นเดือนกันยายนนี้ให้กับนักเรียนในทันทีเพื่อให้ครอบคลุมให้มากที่สุด
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ขอยืนยันว่า การฉีดวัคซีนมีผลประโยชน์คุ้มค่า มากกว่าการไม่ได้รับวัคซีน และวัคซีนที่นำมาให้ประชาชนทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย มีความปลอดภัย มีมาตรฐานสูง มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ในการป้องกันการคุกคามของโรคโควิดได้ ไม่ว่าการติดเชื้อ แพร่เชื้อ เจ็บป่วย เสียชีวิต การมารับวัคซีนอย่างถ้วนหน้าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการทำความปลอดภัยให้ตนเองและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด
“เราได้รับความร่วมมือจากประเทศทั้งหลายที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเรา ไม่ว่า อเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ได้มีการบริจาควัคซีนจำนวนหนึ่งให้ไทยมาโดยตลอด ส่วนประเทศจีนได้มีการบริจาควัคซีนในประเทศของเขามาให้ประเทศไทยด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีการยืมวัคซีนจากประเทศสิงคโปร์ ภูฏาน มีวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้ เรามีการเจรจามาใช้ก่อน เมื่อถึงเวลาอันควรเราจะนำวัคซีนเหล่านี้กลับไปคืนเขา มีการบันทึกข้อตกลงอย่างชัดเจน” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกัน กระทรวงสาธารณสุขได้ทำการยืนยันจัดหาวีคซีนสำหรับปีหน้า ขอให้มีความมั่นใจว่า วัคซีนที่เตรียมจัดหาไว้ในปีหน้าจะมีความเพียงพอแน่นอน และจะเป็นวัคซีนที่นำมาใช้ฉีดกระตุ้นภูมิ เพราะไม่จำเป็นต้องฉีด 2 เข็มอย่างปีนี้อีกต่อไป โดยจะเป็นการฉีดกระตุ้นภูมิให้ประชาชนไปเรื่อยๆจนกว่าสถานการณ์โควิดจะดีขึ้น มีความสามารถลดการคุกคาม ลดความรุนแรง เพราะมีวัคซีนป้องกันการแพร่เชื้อได้ดี จนควบคุมสสถานการณ์ได้ในที่สุด แนวโน้มทั้งหลายเป็นไปด้วยดี ขอย้ำว่าขอให้ความยืนยันว่าบุคลากรแพทย์ทุกคน ไม่ว่าจะสังกัดหรือนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข มีความมุ่งมั่น ตั้งใจ ทุ่มเทพร้อมทำงานอย่างเต็มที่ให้ประชาชนทุกคนปลอดภัยจากการคุกคามโจากควิด เรามีความคาดหวังว่าจะควบคุมสถานการณ์ในเวลาไม่นานจากนี้ไป
“วันนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นในหลายๆ มิติแล้วว่า ขีดความสามารถต่างๆ ในการให้บริการกับประชาชนไม่ว่าวัคซีน รักษาพยาบาล เรื่องยาเวชภัณฑ์ต่างๆ เรายังมีความพร้อมอยู่เสมอ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือของประชาชนจะทำให้ทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดีที่สุด” นายอนุทิน กล่าวทิ้งท้าย