xs
xsm
sm
md
lg

สธ.ปรับแนวทางการให้ยา “ฟาวิพิราเวียร์” ผู้ติดเชื้อโควิด-19 เน้นให้ยาเร็วขึ้นในกลุ่มที่มีโรคประจำตัว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กระทรวงสาธารณสุข ปรับแนวทางให้ยาฟาวิพิราเวียร์ กับผู้ติดเชื้อโควิด-19 เน้นให้ยาเร็วขึ้นในกลุ่มผู้มีโรคประจำตัว หรือมีความเสี่ยงอาการรุนแรง ตามดุลยพินิจของแพทย์ ส่งยาให้โรงพยาบาลทุกสังกัดทั่วประเทศแล้ว 2 ล้านเม็ด อัตราการใช้ขณะนี้ 50,000 เม็ดต่อวัน

เมื่อวันที่ 6 พ.ค. ที่ ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ แถลงข่าวการรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 กล่าวว่า จากกระแสข่าวการให้ยาฟาวิพิราเวียร์เพื่อรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ห่วงใยถึงข้อกังวลได้มอบให้กรมการแพทย์เร่งชี้แจงแนวทางการรักษาผู้ติดเชื้อโควิดให้ชัดเจน ซึ่งกรมการแพทย์ได้ร่วมกับคณะผู้เชี่ยวชาญจากโรงเรียนแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย และสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ศึกษาผลการรักษาโรคโควิดจากการระบาดทั้ง 3 ระลอกรวมทั้งสายพันธุ์ที่แตกต่างกัน เพื่อกำหนดแนวทางการรักษาและให้ยาด้วยยาฟาวิพิราเวียร์แก่ผู้ติดเชื้อให้ดีที่สุด

โดยได้ข้อสรุป ดังนี้ 1. ผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการไม่มีโรคร่วมจะยังไม่ให้ยา 2. ผู้ติดเชื้อที่มีอาการเล็กน้อยหรือไม่มีอาการ แต่มีโรคร่วมหรือมีปัจจัยเสี่ยงนอกเหนือจากการรักษาตามอาการ สามารถให้ยาต้านไวรัสได้ทันทีตามดุลพินิจของแพทย์ เช่น ผู้ที่มีภาวะอ้วน 3. ผู้ติดเชื้อที่มีอาการเล็กน้อยและมีความเสี่ยงหรือมีอาการปอดอักเสบเล็กน้อยให้ยาฟาวิพิราเวียร์ได้ รวมทั้งให้ยาสเตียรอยด์ในรายที่รุนแรงเพื่อช่วยลดอาการรุนแรงจน ซึ่งพบว่าลดการใช้ท่อช่วยหายใจได้มาก และ 4. ผู้ติดเชื้อที่มีอาการปอดอักเสบ ระดับออกซิเจนต่ำกว่า 96% หรือปอดอักเสบรุนแรงให้ยาฟาวิพิราเวียร์ โลพินาเวียร์ หรือริโทนาเวียร์ และสเตียรอยด์ในรายที่รุนแรง

“เราได้ปรับแนวทางการให้ยาที่เร็วขึ้น เน้นในผู้ติดเชื้อที่มีโรคร่วม และตามดุลยพินิจของแพทย์แต่ไม่หว่านแหให้กับทุกคน เนื่องจากยามีผลข้างเคียงและอาจเกิดเชื้อดื้อยาได้ เพราะผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการและไม่มีโรคร่วมส่วนใหญ่อาการจะไม่เปลี่ยนเป็นกลุ่มสีแดง จึงไม่จำเป็นต้องกินยา” นพ.สมศักดิ์ กล่าว

นพ.สมศักดิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับภาวะโรคร่วมหรือปัจจัยเสี่ยงที่สามารถให้ยาฟาวิพิราเวียร์ได้ แม้ไม่มีอาการ ได้แก่ ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและโรคปอดเรื้อรังอื่นๆ, โรคไตเรื้อรัง, โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหัวใจแต่กำเนิด โรคหลอดเลือดสมอง, เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้, ภาวะอ้วน น้ำหนักมากกว่า 90กิโลกรัม, ตับแข็ง ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ และเม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์ น้อยกว่า 1,000 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร และภาวะอื่นๆ ที่แพทย์พิจารณาว่าเป็นภาวะเสี่ยง ทั้งนี้ ยาฟาวิพิราเวียร์ได้กระจายไปทั่วประเทศแล้ว 2 ล้านเม็ด และจะมีเข้ามาอีก 3 ล้านเม็ดประมาณกลางเดือนพฤษภาคม ส่วนอัตราการใช้ยาขณะนี้ประมาณ 50,000 เม็ดต่อวัน ซึ่งจะพอใช้ประมาณ 3 เดือน โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการสาธารณสุขได้สั่งองค์การเภสัชกรรม สำรองยาไว้อีก 2 ล้านเม็ด โดยใน กทม. ได้กระจายยาไปยังโรงพยาบาลทุกเครือข่ายรวมถึง รพ.สนาม และฮอสปิเทลด้วย

ส่วนประเด็นระยะเวลาในการรักษาผู้ติดเชื้อในโรงพยาบาลที่อาจลดลงเหลือ 10 วันนั้น กระทรวงสาธารณสุขได้คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ติดเชื้อเป็นสำคัญ โดยหลักการให้การรักษาอย่างน้อย 14 วัน หากพื้นที่ใดมีปัญหาด้านการบริหารจัดการเตียง หรือผู้ป่วยได้รับการรักษาจนไม่มีอาการแล้วอย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง สามารถจำหน่ายออกจากโรงพยาบาลได้ตั้งแต่วันที่ 10 เป็นต้นไป แต่ขอให้แยกกักตัวเองต่อที่บ้านต่ออีก 4 วัน ทั้งนี้ ให้ปรับตามสถานการณ์ของแต่ละพื้นที่


กำลังโหลดความคิดเห็น