xs
xsm
sm
md
lg

SAT ครูฮ้วง..สอนคิด ไม่ดรามา ไม่โลกสวย แต่สนุก!

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เสาวลักษณ์ ลี้รุ่งเรืองพร หรือ ครูฮ้วง เจ้าของสถาบัน Campus Genius Center ผู้สอนหลักสูตรติวเข้มเพื่อการสอบ SAT
ดุ เคี่ยว จี้ ตาม (การบ้าน) สอนคิด ไม่ดราม่า ไม่โลกสวย แต่สนุก..คือสไตล์ของติวเตอร์ที่เด็กในแวดวงอินเตอร์รู้จักกันดี โดยเฉพาะการติว SAT ด้วยแนวคิดแบบ Critical Thinking และมีประสบการณ์ทำงานกับคะแนน และหัวสมองเด็กมากว่า 10 ปี สามารถส่งเด็กเข้าเรียนคณะอินเตอร์ในฝันมาแล้วหลายคน

เรากำลังพูดถึง "เสาวลักษณ์ ลี้รุ่งเรืองพร" หรือ "ครูฮ้วง" เจ้าของสถาบัน Campus Genius Center ผู้สอนหลักสูตรติวเข้มเพื่อการสอบ SAT (SAT Reasoning Test) แม้จะขึ้นชื่อเรื่องความเคี่ยว แต่ก็เป็นติวเตอร์ที่เข้าใจเด็กมากที่สุุดคนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นทั้งครู รุ่นพี่ และพี่เลี้ยงที่ช่วยให้เด็กกระโดดออกจากพันธนาการแห่งความเคยชินไปสู่การเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อเป็นคนที่อ่านเก่ง คิดเก่ง ใช้เหตุผลในการตัดสินใจได้ดี นำไปสู่คะแนนสอบที่ดี และชีวิตที่มีเป้าหมายตามมา

"ครูฮ้วงดุนะ มีการบ้านต้องทำทุกวัน ไม่พอยังตามจิกตามทวงอีก ใครไม่ส่งมีด่าเลยในไลน์กลุ่ม และในไลน์กลุ่มก็มีพ่อแม่ของเด็กๆ ด้วย" ครูฮ้วงย้ำถึงความเคี่ยว เพราะการสอบ SAT ต้องฝึก ต้องอ่าน ต้องคิดวิเคราะห์ให้เก่ง อัจฉริยะอย่างเดียวช่วยไม่ได้

"เด็กที่เรียนกับฮ้วง อย่างแรกเลย เขาจะมีเป้าหมายในชีวิต เขาจะรู้ว่าที่ทำมาทั้งหมด เขาต้องการอะไร ไม่ใช่เรียนเพื่อเรียนพิเศษ แต่เราสอนให้เขาอ่านหนังสือเป็น รู้ว่าเรียนไปเพื่ออะไร ทำให้รู้จักอ่านในสิ่งที่ควรอ่าน และรู้ว่าอะไรที่ควรปล่อยวาง ข้อสอบ SAT ถ้าอ่านหมดไม่ได้คะแนน ต้องเลือกในสิ่งที่มันสำคัญ ซึ่งเราใช้เวลาสอนมากกว่าที่อื่น เพราะเราต้องการสร้างเด็กให้คิดเป็น นี่คือความแตกต่าง


ดังนั้น มาเรียน SAT เป้าหมายต้องชัด คุณต้องรู้ว่าคุณจะมุ่งไปทางคณะอินเตอร์ เรียนแล้วเอาไปใช้ทำอะไรต่อ เคยมีเด็กคณิตศาสตร์โอลิมปิกมาเรียน ยังไม่รอด ถ้าจะรอดต้องฝึก ต้องอ่าน มันใช้ความอัจฉริยะไม่ได้ อีกอย่างเราต้องรู้ก่อนว่า SAT มันคือข้อสอบมาตรฐานของอเมริกาที่ใช้วัดทักษะและการใช้เหตุผลเพื่อยื่นเข้ามหาวิทยาลัยทั่วโลก และในไทยบางแห่ง เปรียบได้กับข้อสอบเอ็นทรานซ์ของโลก ซึ่งไม่ได้สอบภาษาอังกฤษ แม้จะเป็นข้อสอบภาษาอังกฤษก็ตาม"

SAT แบ่งเป็น SAT ทั่วไป กับ SAT subject tests สำหรับ SAT ทั่วไป แบ่งการสอบออกเป็น Reading & Writing และ MATH คะแนนเต็มแต่ละวิชาอยู่ที่ 800 สองวิชารวมกัน 1600 คะแนน หากต้องการเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยระดับ Top 10 ของสหรัฐอเมริกา จะต้องทำคะแนนให้ได้มากกว่า 1,500 คะแนน ซึ่งในประเทศไทยมีอยู่ 4 หลักสูตรที่ต้องการคะแนนสูงในระดับ 1,300 ขึ้น คือ BBA จุฬาฯ, BBA ธรรมศาสตร์, BE ธรรมศาสตร์ และ EBA จุฬาฯ 

ส่วน SAT Subject Test หรือ SAT2 ใช้สอบเพื่อเข้าคณะวิศกรรมศาสตร์อินเตอร์ ซึ่งต้องดูข้อกำหนดของแต่ละมหาวิทยาลัยให้ดี ยกตัวอย่างคณะวิศวะอินเตอร์ จุฬาฯ ต้องสอบ SAT Subject Test ในรายวิชา คณิตศาสตร์, ฟิสิกส์ และเคมี นอกจากนั้นยังต้องสอบ SAT ธรรมดาด้วย แต่หากต้องการสอบเข้าคณะแพทย์อินเตอร์จะใช้ข้อสอบเฉพาะทางที่เรียกว่า BMAT หรือ Biomedical Admission Test


"ตัวสำคัญมากที่สุดคือ Reading แต่เด็กมักจะปฏิเสธเพราะคิดไปก่อนว่ามันยาก ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ฝึกเลย ซึ่งถ้าเก่ง Reading การสอบ IELTS คุณจะผ่านแน่นอน เพราะ 50 เปอร์เซ็นต์มันคือการอ่าน เช่นเดียวกับ CU-TEP และ TU-GET ที่เหลือเป็นแกรมม่า อ่านใกล้ๆ ก็ได้ แต่เด็กหลายคนเรียนมันหมดเลย ปัญหาคือ ไม่มีเวลามานั่งอ่าน Reading สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรเลย นอกจากได้เรียนพิเศษเต็มไปหมด นี่คือที่มาของเด็กสอบไม่ติด แล้วพ่อแม่ก็ไม่เข้าใจ คิดว่าลูกหัวไม่ดี ซึ่งจริงๆ เรียน SAT อย่างเดียวมันครอบคลุมหมดแล้วนะ เพราะ SAT มันคือ Reading แต่เด็กส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้

ส่วน MATH ของ SAT ทั่วไป 75% คือเลขม.ต้น อีก 25% คือเลขม.ปลาย ง่ายกว่าเลขในการสอบ PAT หรือการสอบวัดระดับความถนัดด้านวิชาการของบ้านเราอีกนะ อันนี้หลายคนไม่ค่อยรู้กัน ตรงนี้ฝึกกันได้ เด็กศิลป์ได้เต็มเพียบ แต่จะยากขึ้นหากแปลโจทย์ไม่ออก" ครูฮ้วงบอก

สำหรับการเตรียมตัวสอบ SAT ยังมีเด็กหลายคนเข้าใจผิด ส่วนใหญ่มักจะเริ่มอ่านคณิตศาสตร์ก่อน เพราะมองว่ามันง่าย แต่จริงๆ แล้วต้องอ่านไปพร้อมๆ กับ Reading & Writing

"บางคนได้ 780 ตอนม.5 ส่วนอังกฤษได้ 400 กว่า จากนั้นคิดว่าคณิตโอเคละ ก็เลยไปมุ่งที่อังกฤษจนทำคะแนนพุ่งขึ้นมาเป็น 550 แต่คณิตลด คะแนนก็เท่าเดิม ซึ่งวิธีแบบนี้ผิด คุณต้องแบก Reading & Writing และ MATH ไปพร้อมๆ กัน จัดเวลาฝึก และอ่านพร้อมกัน ประคองหิน 3 ก้อนตรงนี้ไปพร้อมๆ ด้วย แล้วจะทำคะแนนได้เยอะขึ้น ซึ่งคนที่ได้คะแนนเยอะๆ เขาทำกันแบบนี้


ดังนั้น เราจึงต้องเข้มกันมาก เคี่ยวกันมาก จี้กันมาก แต่พ่อแม่บางคนไม่ค่อยเข้าใจ เวลาเราจี้ในไลน์ก็มักจะบอกว่า ที่บ้านไม่เคยดุลูก และมักจะใช้คำว่าคุณแม่เคารพในการตัดสินใจของลูก ฮ้วงก็ตอบกลับไปว่า ก่อนที่คุณแม่จะเคารพการตัดสินใจของลูก คุณแม่ช่วยให้ความคิดที่ถูกต้องกับเขาก่อนได้หรือไม่ ความคิดเด็กยังไม่ตกตะกอนเลย

อย่างลูกบอกว่า หนูอยากไปเกาหลี ไปเรียนเต้น คุณเคารพการตัดสินใจของลูกเลยเหรอ แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าลูกเต้นเก่งขนาดไหน เคยมีเด็กมาถาม อยากไปเรียนต่อเกาหลี เพราะอยากเป็นลิซ่า แบล็กพิงค์ เราก็บอกว่ากว่าจะเป็นลิซ่า เขามีที่มาที่ไปนะ เราก็บอกเขาไปว่า เรียนอะไรที่มันดูปลอดภัยก่อนไหม แล้วค่อยค้นพบตัวเองว่าชอบเต้นจริงๆ หรือเปล่า"

เมื่อถามถึงความนิยมของ SAT ครูฮ้วงมองว่า ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะเด็กหลายคนมุ่งมาเรียนสายอินเตอร์ บวกกับระบบการสอบของไทยที่ไม่ค่อยนิ่ง ทำให้เด็กจำนวนหนึ่งรู้สึกเบื่อหน่าย และไม่อยากทะเลาะกับกระทรวงอีกต่อไปแล้ว

"ระบบการสอบของไทย มีปัญหามาเป็นสิบๆ ปีแล้ว เช่นข้อสอบ GAT-PAT มันไม่นิ่ง เด็กก็เบื่อกันแล้ว จำได้ว่ามีปีนึงที่ข้อสอบสังคมไปออกว่า อะไรเอ่ย กลมๆ ดำๆ ลอยน้ำได้ ต้องตอบว่าชานมไข่มุกนะ ทางกระทรวงก็บอกว่าต้องการให้เด็กมีความรู้รอบตัวด้วย แต่เด็กหลายคนเริ่มหักเหเส้นทางมาเรียนอินเตอร์ดีกว่า ดังนั้น GAT-PAT จะเน่าอย่างไร เด็กไม่แคร์แล้ว เด็กหลายคนก็ไม่ไปสู้อะไรกับกระทรวงแล้ว ซึ่งกระทรวงก็อย่าคิดว่าทุกอย่างมันจบลงด้วยดี มันไม่ได้จบ แต่เด็กไม่เอาคุณแล้ว"


สำหรับการสอบ SAT นั้น สามารถสอบได้เรื่อยๆ เปิดสอบประมาณ 4 ครั้งต่อปี ช่วงเดือนมีนาคม พฤษภาคม ตุลาคม และธันวาคม โดยคะแนนสอบเก็บไว้ได้ 2 ปี ดังนั้นต้องเตรียมตัว และวางแผนการสอบอย่างดีว่าจะยื่นเข้าคณะอินเตอร์ที่ไหน

"การเตรียมตัวสอบนั้น ครูฮ้วงแนะว่า ม.4 คือการฝึก หาประสบการณ์ในการสอบเพื่อประเมินตัวเอง พอขึ้น ม.5 ก็เอาจริง เพื่อจะได้คะแนนที่ต้องการ ส่วน ม.6 คือการเก็บรายละเอียด ในกรณีที่ต้องการคะแนนนเพิ่มขึ้น ดังนั้นควรทำให้ได้ภายในม.5 จะดีที่สุด หากมีแรงจูงใจว่าฉันจะต้องทำคะแนน 1400 เพื่อเข้า BBA หรือหลักสูตรบริหารธุรกิจนานาชาติของจุฬาฯ คะแนนระดับนี้สามารถเข้าเรียน BBA ที่ไหนในประเทศก็ได้ หรือแม้แต่ยื่นสมัครเข้ามหาวิทยาลัยระดับท็อปๆ ในอเมริกายังได้เลย"

ด้านระยะเวลาในการเรียน SAT เพื่อพิชิตคะแนนสอบให้ได้สูงๆ นั้น ครูฮ้วงไม่สามารถบอกได้ ขึ้นอยู่กับความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของตัวเด็ก

"การเรียนสั้นยาวเท่าไร ไม่สามารถบอกได้ แต่อยู่ที่ว่าเด็กจะมีความสามารถในกาารคิดวิเคราะห์ได้เมื่อไร ส่วนค่าเรียนก็แตกต่างกันไปในแต่ละสถาบัน อย่างสถาบันของฮ้วง การตั้งราคาเรามีการประเมินอย่างดี มันมาจากการทุ่มเทชีวิตจิตใจ (ปัจจุบันตกชั่วโมงละ 600 บาท) เอกสารประกอบการสอนของฮ้วงจะไม่ซ้ำกันเลยในแต่ละวัน เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน

ฮ้วงจะตื่นมาตั้งแต่ตี 4 แล้วมีรายชื่อเด็กที่วันนี้จะสอนประมาณ 20 คน แล้วมาดูว่าคนนั้นคนนี้ไม่ได้ตรงนั้น ตรงนี้ แล้วพิมพ์ชีทใหม่ขึ้นมาทุกวัน เราจำชื่อเด็ก จำทุกๆ พัฒนาการของเขาได้ทุกคน รวมไปถึงคะแนนสอบของพวกเขา เราคิดถึงเด็กทุกวัน วันไหนไม่ส่งการบ้านก็จะมีการตาม แล้วก็บอกว่ารู้มั้ยว่าไม่ส่งการบ้าน คะแนนตอนนี้มันถอยลงไปแล้ว 200 คะแนน ส่วนใหญ่เด็กจะเข้าใจ แต่พ่อแม่บางคนไม่ค่อยเข้าใจ บางคนก็บอก อะไร จี้ทุกวันเลย ไม่ให้ไปพักผ่อนเลยเหรอ"



สนชัย ลิ้มทองกุล ผู้บริหารหลักสูตร และจัดการระบบการดำเนินการทั้งหมด
ทั้งนี้ นอกจาก "ครูฮ้วง" แล้ว ยังมี "สนชัย ลิ้มทองกุล" อีกหนึ่งเบื้องหลังคนสำคัญ เขาคือผู้บริหารหลักสูตร และจัดการดูแลระบบการดำเนินการทั้งหมด เป็นทั้งผู้บริหาร ที่ปรึกษา ครูแนะแนว รวมถึงยังเป็นคุณลุงใจดีของเด็กๆ

"เรามีไลน์กลุ่มที่ช่วยดูแลอย่างใกล้ชิด และเข้มข้น มีส่งการบ้านเข้าในกลุ่ม มีการวิเคราะห์จุดอ่อน และแก้เป็นคนๆ ไป และนี่คือที่มาของการทำชีทที่ตรงกับระดับของเด็ก เป้าหมายสุดท้ายคือเด็กก็จะสอบผ่านหมด แถมยังช่วยแนะแนวการสอบสัมภาษณ์ให้ด้วย อีกหนึ่งกลุ่มคือ กลุ่มพิเศษ เราดูแลแบบตัวต่อตัวสำหรับเด็กที่ต้องการคะแนนสูง เราการันตีได้เลยว่าผ่าน และทำเวลาได้แน่นอน" สนชัยเสริม

ทั้งหมดนี้ ภายใต้การสอนของ "ครูฮ้วง" และการบริหารดูแลจัดการดูแลของ "คุณสนชัย" ทั้งคู่เน้นให้เด็กคิดเป็น ไม่ดรามา ไม่โลกสวย แต่ให้มองถึงเป้าหมาย และอนาคตที่เห็นภาพชัดเจนว่าเรียนแล้วเอาไปทำอะไร จบแล้วจะทำอะไร ต่อยอดสิ่งที่เรียนในทิศทางไหน

"ฮ้วงไม่ชอบคำที่บอกว่าครูฮ้วงทำให้เด็กคนหนึ่งเปลี่ยนไป ซึ่งมันน้ำเน่า มันดราม่า เรื่องนี้พ่อแม่ต้องชมลูกด้วยว่า ลูกคุณคือสิ่งมหัศจรรย์ของโลก เพราะการที่คนคนหนึ่งตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองให้ดีมันต้องใช้ความกล้าหาญมากๆ นะ เด็กบางคนตอนที่สอบ SAT ผ่าน บอกว่า SAT คือความสำเร็จสิ่งเดียวในชีวิตผมเลย ทำให้ผมต้องมานั่งอ่านทุกวัน ไม่น่าเชื่อว่าในปีๆ นึงนั่งอ่านจนสอบผ่าน และนี่คือความสำเร็จที่เขาและพ่อแม่ต้องภูมิใจ ซึ่งฮ้วงเองก็ภูมิใจในตัวพวกเขาเช่นกัน"
ครูฮ้วงทิ้งท้าย

ปัจจุบันนอกจากสอนสดที่สถาบันฯ สาขาเตาปูน (ติดกับ MRT ทางออกประตู 1) แล้ว ยังสตรีมสัญญาณสดด้วยระบบ zoom, การเรียน Rerun ด้วยระบบ CLEAR@HOME, การเรียนแบบระบบวีดีโอที่สาขา ทั้งสาขาเตาปูน, บางโพ และสาขาหาดใหญ่ รวมไปถึงเรียนระบบออนไลน์ได้ทั่วประเทศ เข้าไปดูรายละเอียดได้ที่้ www.campusgeniuscenter.com หรือ เฟซบุ๊ก SATKhruHuang


กำลังโหลดความคิดเห็น