รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข เปิดงาน Smart Living with COVID-19 วัน ทำความเข้าใจสื่อมวลชน และ Influencers ถึงนโยบายเปิดประเทศปลอดภัย เศรษฐกิจไทยไปรอด แจงยึดความปลอดภัยประชาชนเป็นสําคัญ พร้อมเฝ้าระวัง ควบคุมป้องกันโรค โดยทีมสอบสวนโรค 3,000 ทีม สถานกักกันรองรับคนเดินทางเข้าประเทศ ห้องแล็บในการตรวจเชื้อทั่วประเทศ ยา ห้องแยกโรคและเตียงรองรับการรักษาพยาบาล วันนี้ (13 พ.ย.) ที่โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดงาน Smart Living with COVID-19 1966 เปิดประเทศปลอดภัย เศรษฐกิจไทยไปรอด โดยมี นายแพทย์ เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดี กรมที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมให้ข้อมูลแก่สื่อมวลชนทุกแขนงรวม 70-80 คน เพื่อทําความเข้าใจเชิงลึกถึงนโยบายการเปิดประเทศอย่างไรให้คนไทยปลอดภัยและเศรษฐกิจไทยไปรอด
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ที่ผ่านมา ประเทศไทยจําเป็นต้องใช้มาตรการควบคุมโรคที่เข้มข้นในการล็อกดาวน์ ทําให้ส่งผลกระทบกับชีวิตประชาชนอย่างมาก ขณะนี้ประเทศไทยสามารถควบคุมโรคได้เป็นอย่างดี รู้จักกับโรคนี้มากขึ้น รัฐบาลมีนโยบายให้คลายล็อกเปิดประเทศบนพื้นฐานความปลอดภัยของประชาชน กระทรวงสาธารณสุขจึงนําประสบการณ์และองค์ความรู้มาปรับเป็นมาตรการควบคุมโรคเพื่อเตรียมพร้อมรับมือการทยอยเปิดประเทศ ทั้งด่านเฝ้าระวังคัดกรองและควบคุมโรค ทีมสอบสวนโรคนับพันทีมที่พร้อมลุยงานเร่งด่วน มีอาสาสมัคร สาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) กว่า 1 ล้านคน ในการเฝ้าระวัง สถานกักกันโรคทุกประเภทมีห้องรองรับมากกว่า 8 พันห้อง มีห้องปฏิบัติการในการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อโควิด-19 จัดเตรียมยาฟาวิพิราเวียร์ กว่า 5 แสนเม็ด ห้องแยกโรคและเตียงเพื่อรองรับการรักษา รวมถึงมีความร่วมมือจากประชาชน
“เหล่านี้เป็นภาพรวมความพร้อม ในวันที่ประเทศไทยจะต้องเดินหน้าสู้กลับโรคโควิด-19 ภายใต้แนวคิด SMART LIVING WITH COVID-19 คนไทยปลอดภัย เศรษฐกิจไทยไปรอด ขอยืนยันว่า กระทรวงสาธารณสุขมีประสบการณ์ ความรู้ ผู้เชี่ยวชาญ ความพร้อม และมีแผนการในการรองรับการเปิดประเทศ ที่จะทยอยคลายล็อกหลังจากนี้” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า โรคโควิด-19 นี้ ยังไม่มีจุดสิ้นสุด ประเทศไทยจําเป็นต้องมองหาแนวทางการอยู่ร่วมกับโรคนี้ ซึ่งการเปิดประเทศเป็นทางเลือกทางรอดหนึ่ง แต่ต้องเปิดประเทศแบบคนไทยปลอดภัย เศรษฐกิจไทยไปรอด จึงต้องเตรียมความพร้อมทุกภาคส่วน โดยเฉพาะสื่อมวลชน และ Influencers ที่จะนําองค์ความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับสถานการณ์และมาตรการความพร้อมในการเปิดประเทศไป เผยแพร่สู่สาธารณชนอย่างถูกต้องต่อไป จึงเป็นที่มาของการจัดงานในวันนี้
“ประเทศไทยมีระบบในการเฝ้าระวังควบคุมโรค หากพบการติดเชื้อจะต้องรายงานภายใน 3 ชม. เพื่อดําเนินการสอบสวนโรคอย่างรวดเร็ว โดยดําเนินการผ่าน 3P for Safety คือ 1. Port Safety ด่านควบคุมโรคปลอดภัย มีระบบเฝ้าระวังคัดกรอง ควบคุมโรค 2. Policy for National Quarantine Safety จัดทํานโยบายควบคุมโรคระดับชาติ มีระบบกักกัน สถานกักกันโรคที่ได้มาตรฐาน และ 3. Public Health Emergency Operation Center (PHEOC) Safety ปฏิบัติการฉุกเฉินที่เป็นระบบ ทั้งการเฝ้าระวังและสอบสวนโรคเชิงรุก การจัดทีมสอบสวนโรคกว่า 3 พันทีม ทั่วประเทศ และรายงานภายใน 3 ชั่วโมง และมีระบบสื่อสารความเสี่ยงตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน การเฝ้าระวังและตรวจทางห้องปฏิบัติการในกลุ่มที่มีอาการเข้าเกณฑ์ ผู้ป่วยโรคปอดอักเสบ และ ไข้หวัดใหญ่ ผู้ต้องขังแรกรับแรงงานต่างด้าว ฯลฯ” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวว่า สําหรับข้อเสนอการลดวันกักตัวผู้เดินทางจากประเทศที่มีความเสี่ยงโรคโควิด-19 ต่ําหรือใกล้เคียงกับประเทศไทย จาก 14 วันเหลือ 10 วัน อยู่บนพื้นฐานความปลอดภัยของประชาชน เนื่องจากมีข้อมูลประกอบการพิจารณา คือ ผู้ติดเชื้อเกือบทั้งหมดตรวจพบเชื้อภายใน 10 วัน การพบเชื้อหลัง 10 วัน ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ มีโอกาสแพร่เชื้อต่ำ เช่น กรณีดีเจร้านอาหาร หรือหญิงชาวฝรั่งเศส ซึ่งไม่พบผู้สัมผัส ติดเชื้อเพิ่ม ขณะที่ข้อมูลล่าสุดพบว่า ระยะการกักตัว 10 วัน และ 14 วัน มีความเสี่ยงไม่ต่างกัน และเมื่อออกจากที่กักกันโรค จะใช้มาตรการป้องกันส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด ได้แก่ การสวมหน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่าง ระหว่างบุคคล การจัดระบบระบายอากาศ และมีระบบติดตามตัวทุกคน เพื่อรายงานอาการป่วย
นายอนุทิน กล่าวว่า การเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาล ขณะนี้มีเตียงกว่า 20,000 เตียงทั่วประเทศ การรับผู้ป่วยจะพิจารณาจากคนไข้ที่มีอาการหนักที่อยู่ในห้องไอซียู ทั้งนี้ จากการระบาดรอบแรก คนไข้นอนไอซียูเฉลี่ยประมาณ 17 วัน ดังนั้น การเตรียมพร้อมครั้งนี้ ในกรุงเทพมหานครสามารถรองรับได้ 230-400 คน ทั่วประเทศรองรับได้ 1,000-1,740 คน ขณะที่ยาและเวชภัณฑ์นั้น จากข้อมูลเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2563 มียาฟาวิพิราเวียร์ 628,304 เม็ด สําหรับผู้ป่วย 8,900 ราย ยาเรมเดซิเวียร์ 795 ขวด สําหรับผู้ป่วย 126 ราย หน้ากาก N95 คงเหลือ 2,782,082 ชิ้น ชุด PPE คงเหลือ 1,959,980 ชิ้น มี 40 โรงงานกําลังการผลิต 6 หมื่นชุดต่อวัน และหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ คงเหลือ 50,922,050 ชิ้น มี 60 โรงงาน กําลังการผลิต 4,700,000 ชิ้น วัน ทั้งนี้ กรมการแพทย์ได้มีการเตรียมการแพทย์ วิถีใหม่ เพื่อพร้อมให้บริการทางการแพทย์กับผู้ป่วยโรคอื่นๆ ได้แม้จะมีโควิด-19 ระบาดใหม่ก็ตาม
“กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์มีศักยภาพตรวจเชื้อเฉพาะกรุงเทพมหานครได้ถึงวันละ 10,000 ตัวอย่าง ต่างจังหวัด ตรวจได้วันละ 10,000 ตัวอย่าง ปัจจุบันมีห้องปฏิบัติการที่ตรวจได้ 238 แห่งทั่วประเทศ ที่ผ่านมามีการสุ่มตรวจเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ชายแดนประมาณ 100,000 ราย พบผลบวก 1 ราย ถือว่ามีศักยภาพเพียงพอหากมีผู้สงสัย ติดเชื้อและต้องตรวจเชื้อเพื่อยืนยันผล” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวเพิ่มเติมว่า การเตรียมความพร้อมเปิดประเทศ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพได้เตรียมพร้อมสถานกักกันโรคที่รัฐกําหนด (Alternative State Quarantine : ASQ) ที่ต้องผ่านมาตรฐาน 6 ด้าน ปัจจุบันมี 107 แห่ง มีผู้กักตัวสะสม 35,362 คน อยู่ระหว่างการกักตัว 6,201 คน กลับบ้านแล้ว 29,161 คน สร้างรายได้ให้ประเทศประมาณ 1,200 ล้านบาท 2. สถานกักกันในโรงพยาบาลทางเลือก (Alternative Hospital Quarantine : AHQ) รองรับผู้ป่วยโรคอื่นที่เดินทางเข้ามารับการรักษา ปัจจุบัน มี 173 แห่ง มีผู้ป่วยและผู้ติดตามเดินทางเข้ามารับการรักษาพยาบาลแล้วจํานวน 2,367 ราย รักษาเสร็จสิ้นแล้ว จํานวน 1,072 ราย กําลังรักษาอยู่ จํานวน 1,295 ราย สร้างรายได้เข้าประเทศแล้ว จํานวน 1,272,827,982 บาท และ 3. อสม.ในการดําเนินการตําบลวิถีใหม่ โดยสํารวจสุขภาพใจ และให้คําแนะนําในการปฏิบัติตัวแก่ประชาชน ให้มีสุขอนามัย มีวินัยและความร่วมมือในการใส่หน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่างในชุมชน
นายอนุทิน กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้ประเทศไทยจะทยอยเปิดประเทศ แต่ประชาชนยังต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค ซึ่งกรมอนามัยได้ดําเนินการ ใน 2 มาตรการหลัก คือ 1. ยกระดับมาตรฐานของสถานประกอบการทั้ง 10 สถานที่ มุ่งเน้นมาตรการ 3 ระดับ คือ ระดับสถานที่ ระดับบุคคล และระดับชุมชน 2. มีการสื่อสารสร้างความรอบรู้และความตระหนักใน 5 ประเด็นหลัก เพื่อสร้างเกราะป้องกัน 5 ด่าน คือ ล้างมือ สวมหน้ากาก โดยตั้งเป้าหมายให้ทั่วประเทศสวมหน้ากากอนามัยได้ ร้อยละ 80 รักษาระยะห่าง 1-2 เมตร ทําความสะอาดพื้นผิว และจัดระบบระบายอากาศภายในอาคาร นอกจากนี้ ยังเน้นย้ําให้ประชาชนลงทะเบียนผ่านแพลตฟอร์มไทยชนะ ก่อนเข้ารับบริการในสถานที่ต่างๆ และขอให้สถานประกอบการ ผู้ให้บริการและผู้รับบริการ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคของแต่ละสถานที่อย่างเคร่งครัด