หลายเรื่องในชีวิตที่เมื่อเราเติบโตขึ้นมาแล้วมองย้อนกลับไปในวัยเด็ก ก็จะพบว่ามีทั้งเรื่องน่าขัน น่าเศร้า น่าประทับใจ ฯลฯ รวมถึงมุมสะท้อนความคิดอ่านในช่วงวัยเยาว์..เจ้าลูกชายคนโต "สรวง สิทธิสมาน" มีแง่มุมของการมองย้อนวัยเด็กที่เชื่อมโยงมาสู่วัยรุ่นตอนปลายที่สะท้อนชีวิตตามกระแสได้อย่างน่าสนใจ และนำมาถ่ายทอดผ่านคอลัมน์นี้ค่ะ
.............
ระหว่างที่ตาจ้องมองขวดสบู่เหลวขวดหนึ่งขณะอาบน้ำ ผมก็วาบความคิดหนึ่งขึ้นมา เนื่องเพราะยี่ห้อของสบู่ขวดนั้นจำได้ว่าผมใช้ประจำตั้งแต่เด็ก แต่หยุดใช้ไปด้วยเหตุผลบางอย่าง ในวันนี้ พอได้กลับมาใช้มันอีกครั้ง จู่ ๆ ก็ย้อนคิดไปถึงเรื่องราวในอดีต....
แบรนด์สบู่เหลวสำหรับเด็กที่แม่ซื้อให้ใช้ตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ และเป็นยี่ห้อเดียวที่ผมใช้ในวัยเด็ก หากพูดถึงสบู่เหลว ผมจะนึกถึงขวดทรงวงรีสีเขียวอ่อน และโลโก้อักษรเขียนภาษาอังกฤษสีน้ำเงินที่อ่านไม่รู้เรื่องอยู่บนนั้น ต่อเมื่อเริ่มเข้าใจภาษา จึงได้รู้ว่ามันอ่านว่าอะไร
ผมใช้อย่างเดียวจนไม่รู้จักสบู่ยี่ห้ออื่นเลย...
จนกระทั่งเข้าเรียนในโรงเรียนประจำตอน ป. 4 จึงได้ทราบว่าบนโลกใบนี้ยังมีสบู่เหลวยี่ห้ออื่นอีกหลายสิบยี่ห้อ ไม่ซ้ำกลิ่นไม่ซ้ำสี ไม่ซ้ำลักษณะบรรจุภัณฑ์ ที่เพื่อน ๆ และรุ่นพี่ร่วมหอตระเตรียมกันมาเองจากที่บ้าน แน่ละ บางคนยังใช้ยี่ห้อเช่นเดียวกับผม
หลังจากเรียนจบป. 6 ขึ้นม. 1 ก็ต้องย้ายไปอาศัยอยู่ที่คณะ (หอ) "เด็กใน" (โซนมัธยม) ซึ่งแตกต่างจากประถมโดยสิ้นเชิง เนื่องจากที่เด็กในมีความแตกต่างทางวัยค่อนข้างมาก ผมเป็นแค่เด็กม. 1 ตัวเล็ก ๆ เวลาอาบน้ำต้องอาบรวมกับรุ่นพี่ที่เป็นนักรักบี้กล้ามโตขนดกจากชั้นมัธยมปลาย แต่ละคนมีเครื่องอาบน้ำที่หลากหลาย ทั้งสบู่ ยาสระผม และโฟมล้างหน้า
สบู่และยาสระผมยี่ห้อที่พี่ ๆ เด็กในส่วนมากใช้กันมักจะมีคำลงท้ายว่า for men, sport หรือคำว่า cool ซึ่งจะมีรูปถ่ายของนักฟุตบอลชื่อดัง หรือดาราหน้าใสที่เป็นพรีเซนเตอร์อยู่ข้าง ๆ โลโก้บนขวดบรรจุภัณฑ์ พร้อมคำโปรยประมาณว่า "ขจัดรังแคภายใน 7 วัน" หรือ "ผิวกระจ่างใสมีออร่า" บลา บลา บลา ในขณะที่ผมมีเพียงสบู่เหลวขวดนั้นขวดเดียวที่ใช้ทั้งสระผม ทั้งถูตัว
อาบน้ำเสร็จ เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าในห้องแต่งตัว ก็จะเจอเพื่อน ๆ และรุ่นพี่บางคนใช้โรลออนสำหรับระงับกลิ่นกายทาลงบนขนดก ๆ ตรงรักแร้ บางคนไม่ใช้โรลออนก็ฉีดสเปรย์ดับกลิ่นกาย หรือน้ำหอมโคโลญจน์ ในขณะที่ผมยังคงใช้แป้งเด็กหมือนเดิม
เมื่อไปยังอ่างล้างหน้าเพื่อแปรงฟัน ผมเห็นคนอื่นใช้แปรงสีฟันที่ดู "ทันสมัย" มีนวัตกรรม ทรวดทรงก็ไม่ธรรมดา ใช้ร่วมกับยาสีฟันสารพัดยี่ห้อที่บางอันก็ไม่เคยเห็น ในขณะที่ผมใช้แปรงสีฟันพื้น ๆ ธรรมดา ๆ กับยาสีฟันรสสตรอเบอร์รี่ ที่หวานพอ ๆ กับลูกอม จนบางครั้งที่แปรงฟัน ผมเผลอกลืนลงไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ
รู้ตัวอีกทีก็เหลือผมคนเดียวที่ใช้สบู่เหลวสำหรับเด็กไปแล้ว !
ถึงจะเป็นแค่เรื่องการเลือกใช้สบู่ แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกแปลกแยกอยู่ไม่น้อย เพราะเมื่ออายุประมาณ 11 ปี ผมโตพอที่จะรู้แล้วว่าคำว่า "Baby" แปลว่า "เด็กทารก" เมื่อนำสิ่งที่เราใช้ไปเปรียบเทียบกับเพื่อนคนอื่นที่ใช้สบู่ยี่ห้อที่มีคำลงท้ายว่า For men ที่แปลว่า "สำหรับผู้ชาย" ก็ทำให้ผมเริ่มอยากจะลองเปลี่ยนไปใช้แบบเพื่อนดูบ้าง
ถึงแม้ว่าใจจะอยากเปลี่ยนไปใช้ยี่ห้ออื่นตามคนอื่น แต่ด้วยความที่ใช้ยี่ห้อเดียวมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าสบู่ยี่ห้ออื่นใช้แล้วเป็นอย่างไร จึงยังไม่กล้าเปลี่ยน จนกระทั่งเริ่มโดนเพื่อนบางคนล้อว่าผมเลือกใช้ของเหมือนกับเด็กน้อย เหมือนเด็กแบเบาะที่ยังไม่โต
ด้วยความที่ตอนนั้นผมเป็นเด็กที่มีอารมณ์อ่อนไหว และเป็นคนกลัวความแตกต่าง กลัวว่าตัวเองจะเป็น "แกะดำ" ที่แปลกแยกจากฝูง เมื่อถึงเวลากลับบ้าน ผมจึงไปขอคุณแม่ซื้อเครื่องอาบน้ำใหม่ยกเซ็ท เถียงกับคุณแม่อยู่นาน แม่ผมถามว่าจะเปลี่ยนมันไปทำไม ของเก่ามันก็ใช้ดี ไม่มีอันตรายใด ๆ ต่อผิวด้วย
แต่ประเด็นที่ผมอยากเปลี่ยนไม่ใช่เพราะว่ามันดีหรือไม่ดี แต่เพราะมันไม่ตรงกับที่คนส่วนใหญ่เขาใช้ แต่ผมก็อ้างกับแม่ด้วยสารพัดเหตุผล ทั้งเล่นกีฬา ตากแดดตากฝน จนสุดท้ายแม่ผมก็ซื้อเครื่องอาบน้ำให้ใหม่ยกชุด โดยผมเลือกใช้เฉพาะยี่ห้อจำพวกที่มีคำลงท้ายว่า For men ทั้งสบู่และแชมพู และยังขอแม่ซื้อโฟมล้างหน้า โรลออน และน้ำหอมโคโลญจน์เพิ่ม ทั้ง ๆ ที่หน้ายังไม่ขึ้นสิว ขนรักแร้ก็ยังไม่งอก และยังไม่มีปัญหากลิ่นตัวแต่อย่างใด
เมื่อกลับเข้าไปในโรงเรียนพร้อมเครื่องใช้ส่วนตัวเซ็ทใหม่ feedback ที่ได้รับจากเพื่อน ๆ นั้นดีมาก มีเพื่อนหลายคนมาขอลองใช้สบู่ใหม่ของผม รุ่นพี่บางคนก็มาขอยืมโฟมล้างหน้า ทำให้ผมภาคภูมิใจ และรู้สึกว่าตัวเองเป็น Somebody ทุก ๆ ครั้งที่ถึงเวลาอาบน้ำ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยได้รับตอนใช้ สบู่เหลวยี่ห้อเดิม
หลังจากนั้นผมก็เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้สบู่ไปเรื่อย ๆ ตามเทรนด์ในโรงเรียน บางปีคนชอบใช้สบู่ญี่ปุ่น บางปีชอบใช้สบู่ที่มีกลิ่นผลไม้หรือดอกไม้ บางปีก็กลับมาฮิตสบู่แนว For men
ส่วนตัวผมก็เปลี่ยนไปตามความต้องการของตลาดจนกระทั่งเรียนจบ และปัจจุบันนี้ก็มียี่ห้อที่ใช้ประจำอยู่สองสามยี่ห้อด้วยกัน
มาวันนี้ได้กลับมาใช้สบู่เหลวยี่ห้อเดิมอีกครั้งในรอบ 10 ปี กลิ่นของมันทำให้ผมนึกถึงตัวเองในวัยเด็ก และทำให้ผมขำใส่ช่วงเวลาเหล่านั้นเช่นกัน...
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรผมถึงเป็นคนที่กลัวความแตกต่างขนาดนั้น
ทำไมต้องรู้สึกอายเวลาเป็นตัวของตัวเอง
และทำไมถึงต้องรู้สึกภาคภูมิใจเวลาได้รับความสนใจจากคนอื่น ทั้ง ๆ ที่มันก็เป็นแค่เรื่องการเลือกใช้สบู่เท่านั้น
ที่คิดเช่นนั้นก็เพราะในตอนนี้ผมรู้สึกว่าสบู่เหลวที่เราใช้ในวัยเด็ก มันก็หอม และใช้ทำความสะอาดได้เหมือนกับยี่ห้ออื่น ๆ การใช้คำว่า Baby ที่แปลว่าเด็กทารกก็อาจเป็นเพียงแค่แผนการตลาดสำหรับขายให้กับพ่อแม่ที่มีลูกเล็ก เฉกเช่นเดียวกับพวกยี่ห้อ For men ที่ต้องการเจาะตลาดชายหนุ่มนักกีฬา
ส่วนตัวเราในวันนั้นจนถึงวันนี้ก็เป็นแค่ "ทาสการตลาด" ในระบบทุนนิยม การใช้ชีวิตตามกระแสแทรกแซงอยู่แทบจะทุกวินาทีของชีวิตคนเรา ไม่ใช่แค่การเลือกใช้สบู่ แต่รวมถึงการเลือกฟังเพลงฮิต การเลือกใช้รถ ใช้โทรศัพท์มือถือยี่ห้อแพง การเล่นแอพโซเชียล การเขียน #แฮชแท็ก การมีความรักโรแมนติกแบบในภาพยนตร์หรือนิยาย การไปท่องเที่ยวไปตามบล็อคเกอร์ในอินเทอร์เน็ต การซื้อของแบรนด์เนม ความคิดเห็นทางการเมือง และการออกมาประท้วง
แท้จริงแล้วทุกอย่างอาจเป็นเพียงแค่กระแส !
แต่ละกระแสก็มี "ระยะเวลา" ของมัน เช่นในตอนนี้ เด็กรุ่นผมมักจะบอกว่าตัวเองนั้นมีคนเดียวบนโลก กล่าวคือการเป็นตัวของตัวเองที่ไม่เหมือนคนอื่น แต่ No Offense นะครับ ผมเพียงแต่เห็นว่าการแตกต่างคือความนิยมของคนในยุคสมัยนี้ที่ "อิน" กับกระแสปัจเจกนิยมที่เคารพในความแตกต่างเท่านั้น คนที่บอกว่าตัวเองแตกต่าง แท้จริงพวกคุณก็เหมือน ๆ กันหมดนั่นแหละครับ สุดท้ายก็ไม่พ้นการตามกระแส
ซึ่งการตามกระแสมันก็ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน เพราะตัวผมเองก็ตามกระแสที่ผมชอบมาโดยตลอด เพียงแต่อยากจะชี้ให้เห็นถึงเรื่องราวของผมในอดีต ที่การเลือกใช้สบู่ของผมมันไม่ได้เป็นไปตามกระแส ทำให้ผมถูกคนที่ตามกระแสคนอื่นล้อเลียน หรือภาษาสมัยนี้เรียกว่า "บูลลี่" นั่นแหละ
ผมเชื่อว่าอย่างน้อยคนที่ชอบตามกระแสก็ต้องมองภาพรวมให้เป็น แยกให้ออกว่าอะไรคือความจริงและอะไรที่เป็นแค่กระแส และที่สำคัญคือไม่ควรมีความคิดแม้เพียงเล็กน้อยว่าตัวเราที่อยู่ในกระแสนั้นมีคุณค่ามากกว่าคนอื่นที่ไม่ได้อยู่กับคุณ
แปลกดีครับ ที่การจ้องมองขวดสบู่เพียงไม่กี่นาทีของผมจะทำให้ผมคิดฟุ้งไปไกลได้ขนาดนี้ จนถึงขนาดนำมาเขียนเป็นเรื่องเป็นราวได้ นับว่าแปลกดีจริง ๆ...
จะจ้องมองสรรพสิ่งรอบตัวไปเรื่อย ๆ พบเห็นสิ่งใดจะนำมาเล่าสู่กันฟังในโอกาสอันควร