กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ กรมการแพทย์ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย (Uhosnet) กลาโหม ตำรวจ กรุงเทพมหานคร และโรงพยาบาลเอกชน เตรียมระบบบริหารจัดการพร้อมดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 รองรับระลอกใหม่
วันนี้ (11 ก.ย.) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ พร้อมด้วย รศ.นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี และ นายแพทย์ ไพบูลย์ เอกแสงศรี เลขาธิการสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ร่วมกันแถลงข่าว “การบริหารจัดการการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19” รองรับระลอกใหม่
นายแพทย์ สมศักดิ์ กล่าวว่า ในเรื่องมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบนโยบายให้ทำงานเชิงรุก ล่วงหน้ามากกว่าสถานการณ์จริงไปอีกหนึ่งขั้น เช่น หากพบผู้ติดเชื้อ 1 ราย ให้เตรียมสำหรับ 10 ราย, 100 ราย กรมการแพทย์ ได้ร่วมกับภาคีเครือข่าย ทั้งโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย (Uhosnet) กลาโหม ตำรวจ กรุงเทพมหานคร และโรงพยาบาลเอกชน เตรียมระบบบริหารจัดการในภาพรวม เฝ้าระวังการติดเชื้อในโรงพยาบาล เตรียมสถานพยาบาล จัดทำแนวทางการรักษา ยาและเวชภัณฑ์ ระบบบริหารเตียง และให้บริการผู้ป่วยโรคอื่นๆ
ในการบริหารจัดการเตียง มีโรงพยาบาลราชวิถี เป็นผู้ดูแลระบบในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีเตียงทั้งภาครัฐและเอกชน 2,532 เตียง รองรับผู้ป่วยรายใหม่ได้ 230 รายต่อวัน ส่วนสถานพยาบาลทั่วประเทศรองรับผู้ป่วยรายใหม่ได้วันละ 1,000 ราย มีการเฝ้าระวังการติดเชื้อของบุคลากรในโรงพยาบาล คัดกรอง แยกผู้ป่วยไข้หวัดไม่ปะปนกับผู้ป่วยอื่น จัดตั้ง ARI clinic จัดเตรียมห้องแยกความดันลบ หอผู้ป่วยสามัญเฉพาะผู้ป่วยโควิด (Cohort ward) นอกจากนี้ นับเป็นครั้งแรกในโลกที่นำโรงแรมมาเป็นหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) ขณะนี้ได้ปิดกิจการไป เนื่องจากไม่มีผู้ป่วย ขยายหอผู้ป่วยวิกฤตในโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน จัดระบบป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล ทั้งห้องตรวจ/ ห้องทันตกรรมความดันลบ ได้ปรับปรุงแนวทางการรักษาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และการจัดการยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ป้องกัน ชุด PPE องค์การเภสัชกรรม อย. และ สปสช. ส่งให้บริหารจัดการโดยเขตสุขภาพ สำหรับ กทม. บริหารจัดการรองรับ 4 มุมเมือง โดย รพ.จุฬาฯ, รามาธิบดี, ศิริราช และกรมการแพทย์ นอกจากนี้ ยังมีการจัดเตรียมสถานที่แยกพระสงฆ์ที่มีความเสี่ยงอย่างถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย
นายแพทย์ สมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ในการบริหารจัดการหากเกิดการระบาดและรอบ 2 จะไม่กระทบการดูแลผู้ป่วยโรคอื่นๆ ด้วยระบบบริการการแพทย์วิถีชีวิตใหม่ (New Normal medical service) อาทิ ระบบการแพทย์ทางไกล การรับยาที่บ้าน/รับยาร้านยาใกล้บ้าน รวมทั้งการให้ยาเคมีบำบัดในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่บ้าน มีแนวทางปฏิบัติทางการแพทย์ในการให้บริการที่บ้าน ป้องกันการติดเชื้อในทุกแผนกบริการ เช่น การใช้ห้องผ่าตัด ห้องฉุกเฉิน โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ทันตกรรม ทำฟัน ผู้ป่วยนอก/ใน ผู้ป่วยกายภาพบำบัด
“ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก ได้กล่าวว่า การต่อสู้กับการระบาดนั้น ขอให้สู้ด้วยความจริงไม่ใช่ความกลัว คือ ต้องมีสติ ใช้วิทยาศาสตร์ อย่าฟังข่าวลือ การสื่อสารจึงเป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อสร้างความเข้าใจแก่ประชาชน และสุดท้ายคือ ต้องสามัคคี อย่ากล่าวโทษกัน จึงขอความร่วมมือประชาชนตั้งการ์ดป้องกันโรค ปฏิบัติตนเช่นที่เคยทำ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ไทยพบผู้ป่วยจำนวนน้อยกว่าที่คาดการณ์” นายแพทย์สมศักดิ์กล่าว
ด้าน รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ประเทศไทยมีโรงเรียนแพทย์ 23 แห่ง กระจายอยู่ทั่วประเทศ ทุกแห่งทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข ต่อสู้กับโรคโควิด-19 ด้วยการเพิ่มศักยภาพการตรวจโรครักษาผู้ป่วย โดยทำงานร่วมกับวิชาชีพอื่นๆ อาทิ วิศวกร ภาคเอกชน พัฒนาห้องความดันลบ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ เพิ่มศักยภาพการรักษาผู้ป่วยโควิดที่ยุ่งยากซับซ้อน ร่วมกับกรมการแพทย์เตรียมสำรองห้องสำหรับผู้ป่วยวิกฤต ในโรงเรียนแพทย์ 4 มุมเมือง ได้แก่ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช และโรงพยาบาลสูงอายุบางขุนเทียน, โรงพยาบาลรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์ และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กว่า 100 ยูนิต รวมถึงระดมสมองจากแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ คิดค้นนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอุปกรณ์ป้องกันในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาด อาทิ การทำลายเชื้อเพื่อนำหน้ากาก N95 มาใช้ซ้ำ หน้ากาก silicone mask N99 หน้ากากแรงดันบวก ชุด PPE รถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ และประยุกต์ใช้ระบบเทคโนโลยีสื่อสาร เพิ่มความสะดวกในการดูแลรักษาผู้ป่วย และความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากร
นายแพทย์ ไพบูลย์ เอกแสงศรี เลขาธิการสมาคมโรงพยาบาลเอกชน กล่าวว่า หลังจากที่มีเคสแรกเมื่อเดือนมีนาคม ได้ปฏิบัติงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขในการระดมความคิดเห็น แลกเปลี่ยน และเตรียมการด้านต่างๆ เพื่อรองรับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 โดยสามารถรองรับในเขตกรุงเทพและปริมณฑลได้ถึงร้อยละ 43 แม้ในช่วงแรกมีอุปกรณ์จำกัดต้องดำเนินการด้วยตนเอง แต่ภายหลังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล เช่น ห้องแยกโรคความดันลบ ห้องแยกผู้ป่วยติดเชื้อทางอากาศ และห้องไอซียู รวมถึงห้องปฏิบัติการทั่วประเทศที่มี 224 แห่ง ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการภาคเอกชนจำนวน 71 แห่ง ครอบคลุมทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล นอกจากนี้ โรงพยาบาลเอกชนยังได้ดำเนินการร่วมกับสถานที่กักตัวทางเลือก (Alternative State Quarantine) ในการดูแลด้านผู้ติดเชื้อ ทั้งนี้ หากมีการระบาดระลอก 2 โรงพยาบาลเอกชนมีความพร้อม เพราะมีประสบการณ์ และหากประชาชนให้ความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตัวเองเช่นที่ผ่านมา จะทำให้มีความเสี่ยงต่ำในการแพร่กระจายของโรค ส่งผลให้ทรัพยากรมีเพียงพอสำหรับดูแลรักษาผู้ติดเชื้อได้