ศบค. เผย ประเทศไทยพบผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ 8 ราย เดินทางกลับจากสหรัฐอเมริกา 6 ราย ออสเตรเลีย 1 ราย ญี่ปุ่น 1 ราย เข้าพักในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ ส่วนผู้ป่วยเหลือรักษาอยู่ 93 ราย
วันนี้ (2 ก.ย.) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เปิดเผยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศวันนี้ ว่า พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่ 8 ราย เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ และเข้าพักใน State Quarantine โดยมาจากสหรัฐอ้มริกา 6 ราย ออสเตรเลีย 1 ราย ญี่ปุ่น 1 ราย
สำหรับผู้ป่วยยืนยันสะสมล่าสุดอยู่ที่ 3,425 ราย เป็นผู้ป่วยในประเทศ 2,444 ราย และตรวจพบในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จำนวน 488 ราย จำนวนผู้ป่วยรักษาหายแล้วรวม 3,274 ราย ส่วนผู้ป่วยที่กำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 93 ราย ขณะที่ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม โดยยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 58 ราย
สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้เป็นผู้ที่เดินทางมาจากสหรัฐอเมริกา 6รายสัญชาติอเมริกัน 4รายเป็นเพศชาย 2รายอายุ 48ปีอาชีพครูโรงเรียนเอกชนและ 15ปีเพศหญิง 2รายอายุ 49และ 13ปีทุกรายเป็นสมาชิกในครอบครัวเดียวกันเดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 19สิงหาคม 2563เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine)ที่จ.สมุทรปราการพบเชื้อจากการตรวจในครั้งที่ 2วันที่ 31สิงหาคม 2563 (วันที่ 12ของการกักตัว)ไม่มีอาการเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนในจ.สมุทรปราการ
สัญชาติไทย 2รายเป็นเพศชายอายุ 34ปีและเพศหญิงอายุ 36ปีอาชีพรับจ้างเดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 27สิงหาคม 2563เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine)ในจ.ชลบุรีพบเชื้อจากการตรวจในครั้งแรกวันที่ 31สิงหาคม 2563 (วันที่ 4ของการกักตัว)ไม่มีอาการเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจ.ชลบุรี
ออสเตรเลีย 1ราย เป็นเพศชายอายุ 27ปีสัญชาติไทยอาชีพนักศึกษาเดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 24สิงหาคม 2563เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine)ในจ.ชลบุรีพบเชื้อจากการตรวจในครั้งแรกวันที่ 27สิงหาคม 2563 (วันที่ 3ของการกักตัว)ไม่มีอาการเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจ.ชลบุรี
ญี่ปุ่น 1รายเป็นเพศหญิงอายุ 29ปี (ว่างงาน)สัญชาติไทยเดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 28สิงหาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine)ในจ.ชลบุรีพบเชื้อจากการตรวจในครั้งแรกวันที่ 31สิงหาคม 2563 (วันที่ 3ของการกักตัว)ไม่มีอาการเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจ.ชลบุรี
นายแพทย์ธนรักษ์กล่าวว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่น่าจับตามองขณะนี้คือประเทศเมียนมาตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม 2563ที่ผ่านมามีการเพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็น 2 เท่าของผู้ติดเชื้อสะสมตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงต้นเดือนสิงหาคมทำให้ขณะนี้เมียนมามีผู้ติดเชื้อ 787 รายสำหรับประเทศไทยมีความเสี่ยงโดยเฉพาะ 10 จังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศเมียนมาและจังหวัดที่มีแรงงานต่างด้าวเข้าทำงานดังนั้นการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งฝ่ายปกครองความมั่นคงสาธารณสุขภาคเอกชนประชาสังคมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าวจึงมีความสำคัญในการจัดระบบเฝ้าระวังตรวจจับช่วยสอดส่องชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศรวมถึงการเคลื่อนที่ของประชากรตามแนวชายแดนซึ่งจะมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างอย่างเข้มข้นป้องกันการลักลอบเข้าประเทศและนำเชื้อโควิด-19เข้ามาในประเทศไทย
สำหรับภาคเอกชนที่รับแรงงานต่างด้าวเข้าทำงานมีส่วนสำคัญที่จะช่วยจัดการกับปัญหาด้วยการให้ความรู้พนักงานไม่นำแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายเข้าทำงานในระยะนี้ขอความร่วมมือพนักงานแรงงานในบริษัทช่วยสอดส่องและไม่คลุกคลีใกล้ชิดกับแรงงานต่างด้าวที่เข้าเมืองผิดกฎหมายหากเกิดผลกระทบขึ้นมาไม่เพียงแค่เกิดโรคระบาดแต่จะรวมไปถึงภาคเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมและโรงงานด้วยเช่นการกำหนดพื้นที่เสี่ยงการสั่งปิดสถานประกอบการการกักกันบุคลากรกระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญในเรื่องแรงงานต่างด้าวการจัดการพื้นที่ที่มีคนหนาแน่นการประกอบศาสนกิจขนาดใหญ่การป้องกันโรคภายในโรงเรียนอย่างเหมาะสมและการเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการในโรงพยาบาลเนื่องจากเป็นพื้นที่เสี่ยงมีผู้ป่วยโรคเรื้อรังและผู้สูงอายุเข้าใช้บริการ
“ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขทุกหน่วยงานมีการทำงานร่วมกันเพื่อเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคหากทุกฝ่ายยังเข้มในมาตรการจะทำให้ประเทศไทยปลอดการติดเชื้อไปได้อีกและหากเจอผู้ติดเชื้อเราจะสามารถควบคุมโรคได้อย่างรวดเร็วซึ่งจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่และระบบเศรษฐกิจน้อยที่สุด”นายแพทย์ธนรักษ์กล่าว
สำหรับในช่วงวันหยุดยาว 4 -7กันยายน 2563นี้อยู่ในช่วงที่สถานการณ์ประเทศไทยมีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำอยากเห็นคนไทยออกมาใช้ชีวิตกันในวิถีชีวิตปกติใหม่เดินทางท่องเที่ยวอย่างปลอดภัยด้วยการปฏิบัติตนอย่างเหมาะสมสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่ออยู่ในพื้นที่สาธารณะหมั่นล้างมือรับประทานอาหารร้อนใช้ช้อนกลางส่วนตัวและลงทะเบียนแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ”