กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ที่มีฝนตกต่อเนื่อง และบางพื้นที่มีน้ำท่วมขัง ระวังป่วยโรคไข้ฉี่หนู แนะหลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำหรือแช่น้ำเป็นเวลานาน หากจำเป็นควรสวมรองเท้าบูตทุกครั้ง หากไม่ได้สวมรองเท้าบู๊ท เมื่อลุยน้ำเสร็จต้องรีบล้างมือล้างเท้าด้วยสบู่และน้ำโดยเร็ว
วันนี้ (25 ส.ค.) นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้ในหลายพื้นที่ของประเทศไทยมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง และบางพื้นที่ประสบปัญหาน้ำท่วม ประชาชนต้องทำความสะอาดบ้านเรือน หรือต้องแช่น้ำหรือลุยน้ำเป็นเวลานาน สิ่งที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ คือ โรคเลปโตสไปโรสิส หรือ โรคไข้ฉี่หนู เพราะเชื้อโรคชนิดนี้จะเข้าทางบาดแผล รอยถลอก รวมถึงผิวหนังที่แช่น้ำเป็นเวลานาน
สถานการณ์โรคเลปโตสไปโรสิส ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-15 สิงหาคม 2563 พบผู้ป่วย 805 ราย เสียชีวิต 12 ราย โดยพบมากที่สุดในกลุ่มอายุ 45-54 ปี รองลงมาคืออายุ 35-44 ปี และอายุ 55-64 ปี ตามลำดับ ส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตร ร้อยละ 42.9 รับจ้าง ร้อยละ 21.5 และนักเรียน ร้อยละ 13.8
สำหรับอาการของโรคไข้ฉี่หนู จะเริ่มจากมีไข้สูงทันที ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว โดยเฉพาะที่น่องและโคนขาจะปวดมาก คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย และตาแดง เป็นต้น หากมีอาการที่กล่าวมา ขอให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว อย่าซื้อยามากินเอง เพราะอาจทำให้อาการรุนแรงขึ้นได้ ที่สำคัญขอให้แจ้งประวัติการเดินลุยน้ำให้แพทย์ทราบด้วย แพทย์จะดำเนินการรักษาโดยให้ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อโรคตามอาการ และความรุนแรงของโรค ยิ่งพบแพทย์เร็ว ยิ่งมีโอกาสหายเร็ว โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่เสียชีวิตเกิดจากพบแพทย์ช้าเกินไป จึงต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยทันทีที่มีอาการ
นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวต่อไปว่า กรมควบคุมโรค ขอแนะนำวิธีปฏิบัติเพื่อป้องกันโรคไข้ฉี่หนู ดังนี้ 1. หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำย่ำโคลนหรือแช่น้ำเป็นเวลานาน หากจำเป็นต้องเดินลุยน้ำหรือทำความสะอาดบ้านเรือนหลังน้ำลด ควรสวมรองเท้าบู๊ทหรือถุงพลาสติกสะอาดที่หาได้ในพื้นที่ เพื่อป้องกันไม่ให้เท้าสัมผัสน้ำโดยตรง กรณีมีบาดแผลควรปิดด้วยพลาสเตอร์กันน้ำ 2. หมั่นล้างมือด้วยน้ำและสบู่บ่อยๆ และอาบน้ำชำระร่างกายทันทีหลังจากเสร็จจากการทำงานหรือลุยน้ำ 3. หมั่นทำความสะอาดบ้านเรือนและสิ่งแวดล้อมบริเวณบ้านให้สะอาด ไม่มีหนูชุกชุม และ 4. หากมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค