ส.ว.หนุน ครม.เพิ่มงบกองทุน กสศ. ติดเครื่องโครงการวิจัยพัฒนาครูต้นแบบ กรุยเส้นทางเสมอภาคทางการศึกษาอย่างทั่วถึง
ในการประชุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้พิจารณารายงานกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ประจำปี 2562 โดยสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) 12 ราย ได้เสนอขออภิปราย ขณะที่ นายสุภกร บัวสาย ผู้จัดการ กสศ. ทำหน้าที่เป็นผู้ชี้แจง
นายตวง อันทไชย ประธานกรรมาธิการศึกษา วุฒิสภา อภิปรายว่า การจัดสรรเงินอุดหนุนของรัฐบาลต่อ กสศ. ยังไม่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ครม.จึงควรพิจารณาการจัดสรรงบอย่างพอเพียงให้ กสศ. ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย ทั้งนี้ ในจำนวน 9 โครงการ พบว่า การดำเนินงานด้านการศึกษาวิจัยแนวทางการพัฒนาครูต้นแบบ ให้มีความสามารถในการจัดการเรียนการสอน ยังมีการดำเนินการที่คิดเป็นสัดส่วนที่น้อย
“ผลการดำเนินงานจาก 9 โครงการที่ผ่านมาในปีงบ 2562 ซึ่งจะส่งผลให้เข้าใจได้ว่า การดำเนินงานส่วนใหญ่ของกองทุนเป็นการให้ความช่วยเหลือเด็กยากจน เฉพาะการอุดหนุนในส่วนของเงินงบประมาณ ซึ่งอาจไม่สามารถนำไปขยายผลในเชิงการลดความเหลื่อมล้ำในมิติเชิงคุณภาพได้ ดังนั้น จึงควรพิจารณาให้ความสำคัญกับการดำเนินโครงการในปีถัดไป” นายตวง กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเหลื่อมล้ำเห็นทิศทางอนาคตได้ดี และเห็นด้วยกับโครงการพัฒนาอาชีพให้ชุมชนเป็นฐาน ซึ่งจากประสบการณ์กองทุนซิบ ใช้ฐานทุนเป็นตัวขับเคลื่อนจะสามารถลดความเหลื่อมล้ำในชุมชน ให้คนในชุมชนเป็นตัวช่วยชุมชน อยากขยายไปยังเครือข่ายอื่นที่อยู่ตามซอกหลืบป่าเขาด้วย และขอให้แก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทั่วถึงทุกพื้นที่
นายเฉลา พวงมาลัย ส.ว. อภิปรายว่า อยากให้ กสศ. เจาะลึกถึงกระบวนการผลิตครู เดิมใช้งบประมาณ 42 ล้านบาท ก็ควรเพิ่มงบประมาณ เพื่อใช้การเรียนการสอน ให้นักศึกษาเรียนวิชาชีพครูพัฒนาชนบทตัวเอง
“ผมอยากให้ กสศ.พิจารณาว่าทำอย่างไร ให้นักเรียนอยู่ในชนบทได้รับการศึกษา เมื่อมีงบประมาณ ให้เขามาเรียนในมหาวิทยาลัยติดตามพฤติกรรม สร้างคุณธรรมจริยธรรม และให้ไปพัฒนาท้องถิ่น ต่อยอดครูอย่างมี อยากให้เงินกองทุนนี้ ขยายโอกาสให้ชนบทไดรับการศึกษาอย่างแท้จริง” นายเฉลา กล่าว
นพ.เฉลิมชัย เครืองาม กล่าวว่า องค์การยูเนสโกได้เลือก กสศ. ของไทยเป็นหนึ่งในแปดกรณีศึกษาของโลก ที่มีความก้าวหน้าในการทำให้การศึกษาเป็นสิ่งเสมอภาค นี่คือ ปรากฏการณ์ที่เป็นเกียรติ อย่างยิ่งหนึ่งในแปดไม่ใช่ว่าได้มาง่ายๆ องค์ประกอบสำคัญ คือ กสศ. ตลอดการทำงานสองปีเต็ม ทำให้ฝันของผู้ยากไร้ ขาดแคลนทุนทรัพย์ได้เข้าถึงการศึกษา แม้ว่างบประมาณสนับสนุนให้กระทรวงศึกษาธิการ จำนวนห้าแสนล้านบาท แต่ปรากฏการณ์ที่ผู้ไม่เข้าถึงการศึกษา หรือเหลื่อมล้ำการศึกษายังคงอยู่ ไม่เชื่อว่าแค่ กสศ.หน่วยงานเดียวดำเนินการเรื่องนี้ แต่ต้องประสานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
“งบที่ได้ถูกจัดสรรถูกนำไปใช้ในการก่อสร้างอาคารสถานที่ เป็นเงินเดือนบุคลากรการศึกษาจำนวนมาก แต่นับมีเพียง 0.5% ช่วยเหลือกรณีผู้ยากไร้เข้าถึงการศึกษา เด็กอายุ 3-5 ปี ราวสองล้านคน ที่ควรจะเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐานแต่มีความเสี่ยงหลุดพ้นจากการศึกษา เด็กอายุ 3-5 ปี ประมาณหกแสนคนอยู่นอกระบบการศึกษา เป็นสิ่งที่น่าเศร้าใจ
นพ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ข้อมูล กสศ.เด็กไทยที่พ้นระดับขั้นพื้นฐานก้าวเข้าสู่ระดับมัธยมและระดับอุดมศึกษาแค่ 5 เปอร์เซ็นต์แล้วอย่างนี้ประเทศไทยจะหลุดพันกับดักรายได้ปานกลางได้อย่างไร ฉะนั้น เงินจำนวนที่กรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา เสนอมาปีละสองหมื่นห้าพันล้าน คือ ห้าเปอร์เซ็นต์ของงบ ศธ.แต่ละปีไม่มากเลย กระนั้น กสศ.มีบทบาทหน้าที่สำคัญ ไม่เชื่อว่ากสศ.องค์กรเดียวทำได้สำเร็จ สิ่งที่ต้องไปทำ ต้องเป็น คลังสมอง สร้างนวัตกรรม สร้างเทคโนโลยี ระดมสรรพกำลัง ให้บรรลุวัตถุประสงค์ของ รธน.และ พ.ร.บ.กสศ.
“ผมฝาก กสศ. ประการแรก อย่าไปดำเนินการแบบสังคมสังเคราะห์ ผมเห็นด้วยเพราะเป็นการให้โดยไม่หวังผล ท่านต้องช่วยอย่างหวังผลเพื่อให้ผู้รับมีพัฒนการที่ดี พัฒนาการทั้งสุขภาพ กายใจ เชาว์ปัญญา พัฒนาทัศนคติเจตคติ อุดมการณ์ ซึ่งต้องประสาน กับ ศธ. พม. และภาคเอกชน ทำวิจัยให้เยอะ เป็นทิงแทง์ให้ทุกภาคส่วนนำไปต่อยอดใช้งาน งบประมาณ 2.5 พันล้านบาท กับนักเรียน ยังไงก็ไม่พอ ท่านต้องไปปรับยุทธศาสตร์การดำเนินงานบริหารของ กสศ.ให้บรรลุวัตถุประสงค์ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ภายใต้งบประมาณที่จำกัดได้อย่างไร” นายเฉลิมชัย กล่าว
นายชาญวิทย์ ผลชีวิน เสนอ กสศ.เข้าไปสนับสนุนการค้นหาเด็กที่มีความสามารถพิเศษ นักดนตรี ศิลปะ กีฬา อยากตั้งคำถามว่า ในจำนวน 9 โครงการ เด็กพวกนี้ไปอยู่โครงการไหน สิ่งที่พวกเราได้เห็นคนเหล่านี้ กีฬา ดนตรี ศิลปะ คือ การศึกษาหรือไม่ ถ้า กสศ.คิดว่า สิ่งเหล่านี้คือการศึกษา อยากฝาก กสศ. ช่วยสนับสนุนคนเหล่านี้ ถ้าเขามีทุนอยู่แล้ว กสศ.จะสนับสนุนส่วนอื่นให้เขาประสบความสำเร็จได้หรือไม่ เปิดโอกาสสร้างโอกาส ให้โอกาสเด็กเหล่านี้
นายธานี อ่อนละเอียด อภิปรายด้วยการเสนอว่า อยากเห็นความร่วมมือจากบุคลากรครูที่มีคุณภาพอาสาสอนหนังสือผ่านโครงการเน็ตประชารัฐครอบคลุม 7.4 หมื่นกว่าหมู่บ้านทั่วประเทศ มีประชากรชายขอบ 3,920 กว่าแห่งจะแก้ปัญหาความเท่าเทียมกันความเสมอภาคทางการศึกษา
“ผมเคยฝัน และไม่รู้จะมีโอกาสเห็นไหม โดยรัฐสร้างแรงจูงใจให้เขาได้หรือไม่ เช่น ให้สิทธิพิเศษ คือ ลดภาษี สิทธิการรักษาพยาบาล การขอพระราชทานเครื่องราชฯ ท่านเหล่านี้จะมาช่วยแต่ละสาขาวิชาชีพเหมือนอาจารย์หมอ ครูที่อยู่ประจำก็จะช่วยสอนเพื่อจะลดความเสมอภาคทางการศึกษา ให้โรงเรียนที่ขาดแคลนมีสื่อการเรียนการสอน คุณภาพการศึกษาจะเท่ากันทั่วประเทศ” นายธานี กล่าว