สธ.เผย กทม.และปริมณฑล มีเตียงรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ถึง 2,701 เตียง คาด พ.ค.จะมีห้องไอ.ซี.ยู.เพิ่มเป็น 292 เตียง ส่วนเครื่องช่วยหายใจจะเตรียมชนิดสูงสุดเป็น 2 เท่าของเตียงไอ.ซี.ยู. มั่นใจมีเตียงและเครื่องช่วยหายใจเพียงพอ พร้อมถอดแบบเครื่องช่วยหายใจจากอเมริกาโดยไม่เสียค่าลิขสิทธิ์
วันนี้ (13 เม.ย.) นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงการบริหารจัดการเตียงรองรับการรักษาโควิด-19 ในกรุงเทพมหานคร (กทม.) และปริมณฑล ว่า ข้อมูลวันที่ 13 เม.ย. ขณะนี้มีเตียงรองรับผู้ป่วยรวม 2,701 เตียง ดังนี้ 1.เตียงในหอผู้ป่วย จำนวน 1,978 เตียง อยู่ในภาครัฐ 930 เตียง ทั้งจากโรงเรียนแพทย์ เหล่าทัพ ตำรวจ กทม. และ สธ. และภาคเอกชนอีก 1,048 เตียง 2.เตียงรองรับผู้ป่วยวิกฤต (ไอ.ซี.ยู.) จำนวน 120 เตียง เป็นของรัฐ 65 เตียง เอกชน 55 เตียง ทั้งนี้ คาดว่าปลายเดือนเม.ย.จะขยายเพิ่มเป็น 187 เตียง และ พ.ค. จะเพิ่มเป็น 292 เตียง 3.Hospitel จำนวน 603 เตียง รองรับผู้ป่วยรอจำหน่ายที่มีอาการดีขึ้น เป็นโรงแรม 2 แห่ง และหอพักมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 1 แห่ง
นพ.ณรงค์ กล่าวว่า สำหรับเครื่องช่วยหายใจได้จัดเตรียมชนิดขีดความสามารถสูงสุด ที่ประมวลผลการเปลี่ยนแปลงผู้ป่วยวิกฤตได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ สนับสนุนการทำงานของแพทย์ เพื่อรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่ปอดติดเชื้ออย่างรุนแรง มีเพียงพออย่างน้อย 2 เท่าของเตียงไอ.ซี.ยู. ที่กำลังจัดเตรียมไว้ 400 เตียงทั่วประเทศ มีอีกประมาณ 100 เครื่องในภาคเอกชน และมีแผนจัดหาเพิ่มเติมอีกประมาณ 100 เครื่อง มั่นใจว่ามีทั้งเตียงและเครื่องช่วยหายใจรองรับเพียงพอต่อการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ณ สถานการณ์ขณะนี้อย่างแน่นอน
"ประเทศไทยมีไอ.ซี.ยู. รวมทั้งหมดประมาณ 6,000 เตียง และมีเครื่องช่วยหายใจที่สามารถใช้ในห้องไอ.ซี.ยู. ประมาณ 10,000 เครื่อง แบ่งเป็นชนิดมีศักยภาพสูงสุดช่วยสนับสนุนการตัดสินใจของแพทย์ ใช้งานในระดับวิกฤตสูงสุด 4,000 เครื่อง และกลุ่มขีดความสามารถสูง มีความซับซ้อนขึ้น มีระบบการวัดผลมากขึ้นแสดงผลใช้งานหลากหลายอีกประมาณ 6,000 เครื่อง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้องค์การอนามัยโลกและรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลของเครื่องช่วยหายใจรุ่น PB560 ของบริษัท Puritan Bennett – Covident ขีดความสามารถระหว่างกลุ่มที่ 2 และ 3 ใช้ในไอ.ซี.ยู.ได้ โดยให้ถอดแบบและนำไปผลิตโดยไม่มีค่าลิขสิทธิ์ ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังร่วมมือกันทำงานชิ้นสำคัญชิ้นนี้อยู่ คาดว่าในอีก 1 ปีข้างหน้าจะสามารถใช้งานได้" นพ.ณรงค์ กล่าว