ผู้ป่วยโควิดรายใหม่ 33 ราย เสียชีวิต 3 ราย ป่วยสะสม 2,551 ราย ภาพรวมสัปดาห์นี้ป่วยลดลงเกือบครึ่งจากสัปดาห์ก่อน ย้ำแม้จะดีขึ้นแต่ห้ามการ์ดตก เหตุสถานการณ์ในต่างประเทศยังน่ากังวล สหรัฐฯ ตายเป็นอันดับ 1 แล้ว อาเซียนกราฟยังพุ่งทะยาน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ที่คุมได้ดี เริ่มกลับมาพุ่งสูงอีก
วันนี้ (12 เม.ย.) นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงข่าวประจำวัน ว่า วันนี้มีผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ 33 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 3 ราย โดยยอดสะสมรวม 2,551 ราย กระจายใน 68 จังหวัด กลับบ้านแล้ว 1,218 ราย เสียชีวิตรวม 38 ราย โดยผู้เสียชีวิต 3 ราย ได้แก่ 1. ชายไทยอายุ 74 ปี เป็นโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง มีประวัติไปสถานที่ชุมนุมชน คือ ตลาดนัด บุคคลในบ้านมีการรวมกลุ่มกัน ทำให้ผู้ป่วยมีอาการป่วยวันที่ 1 เม.ย. ด้วยอาการไข้ รักษา รพ.แห่งหนึ่ง จ.นครศรีธรรมราช ในวันที่ 7 เม.ย. เข้ามาด้วยอาการไข้สูง 39.4 องศาเซลเซียส ปวดเสียดท้อง ถ่ายอุจจาระสีดำ ผลออกมาว่า ป่วยโควิด วันที่ 8 เม.ย. อาการแย่ลง เสียชีวิตวันที่ 11 เม.ย.
2. หญิงไทยอายุ 65 ปี มีโรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง วันที่ 20-26 มี.ค. ไปเยี่ยมญาติที่ จ.ชุมพร วันที่ 27-31 มี.ค. เริ่มมีอาการไข้ ไอ เหนื่อยเพลีย มาตรวจวันที่ 1 เม.ย. ที่ รพ.ชุมพร รับยากลับไปบ้าน วันที่ 2 เม.ย. มีอาการเหนื่อยหอบมากขึ้น แสดงถึงการมาช้าไป ระดับความรู้สึกตัวลดลง กลับมา รพ.เดิม ใส่ท่อช่วยหายใจ ตรวจเชื้อออกมายืนยัน อาการแย่ลงเรื่อยๆ เสียชีวิตวันที่ 11 เม.ย.
3. ชายไทยอายุ 44 ปี รับส่งต่อจาก รพ.เอกชน วันที่ 18 มี.ค. มีอาการหนักแต่แรก รักษาโดยยาหลายขนาน พยายามดูแลทุกระบบร่างกาย แต่อวัยวะล้มเหลวหลายส่วน ล้างไตหลายครั้ง เสียชีวิตวันที่ 12 เม.ย.
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ผู้ป่วยใหม่ 33 ราย แบ่งเป็น 1. กลุ่มแรกสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยัน หรือสถานที่เกี่ยวข้องกัผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้า 17 ราย คือ กลุ่มสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยก่อนหน้า 15 ราย เชื่อมโยง 3 จังหวัดชายแดนใต้ 7 ราย และสถานบันเทิง 2 ราย 2. กลุ่มผู้ป่วยอื่น 10 ราย คือ คนไทยกลับจากต่างประเทศ 1 ราย คือ อังกฤษมาก่อนวันที่ 31 มี.ค. ไปสถานที่ชุมนุมชน 1 ราย อาชีพเสี่ยง 1 ราย บุคลากรทางการแพทย์ 7 ราย 3. อยู่ระหว่างสอบสวนโรค 4 ราย และ 4. ผู้ป่วยที่เข้าสถานที่กักกันแล้วแสดงอาการ 2 ราย คือ จ.นราธิวาส กลับมาจากอินโดนีเซีย กระจายที่ กทม. 14 ราย ยะลา 5 ราย ภูเก็ต 4 ราย ปัตตานี 3 ราย นราธิวาส สมุทรสาคร 2 ราย เลย ชลบุรี นครศรีธรรมราช 1 ราย
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ผู้ป่วยสะสม 2,551 ราย ผู้ป่วยอยู่ที่ กทม.มากที่สุด 1,294 ภูเก็ต 176 ราย นนทบุรี 148 ราย โดย 9 จังหวัดยังไม่มีรายงานผู้ป่วย อัตราป่วยต่อแสนประชากร ภูเก็ตยังเป็นอันดับ 1 คือ 42.57 ต่อแสนประชากร สัดส่วนผู้ป่วยใน กทม.และ นนทบุรี คล้ายเดิม คือ ภาพรวมลดลง โดยต่างจังหวัดยังสูงกว่า ดังนั้น ช่วงสงกรานต์ไม่ควรเดินทางกลับถูมิลำเนา หากกลับไปกลุ่มอายุเสี่ยงคือ 20-49 ปี ต้องห่างผู้สูงอายุ 2 เมตรทุกวัน หากจะกตัญญูรู้คุณ พ่อแม่ ปู่ย่า ควรกราบไหว้ระยะ 2 เมตร ไม่รดน้ำอวยพร เพราะท่านเป็นพาหะได้ นำเชื้อไปให้ปู่ย่าตายายได้
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า เมื่อพิจารณาตัวเลขผู้ป่วยรายสัปดาห์ พบว่า ตัวเลขดีมาก โดยสัปดาห์ที่ 12 มีผู้ป่วย 315 ราย สัปดาห์ที่ 13 มีผู้ป่วย 625 ราย สัปดาห์ที่ 14 มีผู้ป่วย 724 ราย และสัปดาห์ที่ 15 นี้มีผู้ป่วย 383 ราย สิ่งที่เราทำงานร่วมกัน ทำให้ตัวเลขกดลงมาได้เกือบครึ่งหนึ่ง ถือว่าพอใจ แต่ต้องไม่การ์ดตก เพราะแม้เราจะดี แต่สถานการณ์ทั่วโลกยังไม่น่ากังวล โดยทั่วโลกมีผู้ป่วย 1.78 ล้านกว่าราย อาการหนัก 5 หมื่นราย หายแล้ว 4 แสนกว่าราย เสียชีวิต 1.08 แสนราย ประเทศที่มากสุด คือ สหรัฐอเมริกา 5 แสนกว่าราย เสียชีวิตเป็นอันดับ 1 ของโลกแล้ว 20,577 ราย สเปน อิตาลี ฝรั่งเศส เสียชีวิตหลักหมื่น อังกฤษแตะแล้ว 9,875 ราย
“ประเทศไทยอย่าการ์ดตก เพราะตัวเลขเพิ่มขึ้นแถวใกล้ประเทศไทย เช่น มาเลเซีย เพิ่ม 184 ราย ฟิลิปปินส์ 233 ราย สิงคโปร์ 191 ราย อินโดนีเซีย 330 ราย ดังนั้น เราการ์ดห้ามตก แม้จะดีใจทำได้ดี แต้มดี แต่ต้องยืนระยะยาว เพราะไม่ได้หมดยกพรุ่งนี้มะรืนนี้ ขณะที่สหรัฐฯ พุ่งทะยานขึ้น ไม่มั่นใจว่าจะเอาอยู่ อังกฤษกระดกหัวขึ้น ทิศทางยังไม่แน่นอนใจว่าจะดีหรือไม่ดี กลุ่มอาเซียนยิ่งน่ากังวลเข้าไปใหญ่ เส้นมุมทะแยงขึ้นไป ถ้าไม่กดหัวลงก็พุ่งได้อีก เป็นความน่ากังวลของเรา ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ชันมาก สิงคโปรที่ว่าคุมได้ดี ก็กลับมาชันขึ้นจนจะชนเท่าประเทศไทย ญี่ปุ่น อินเดีย ก็ตัวเลขชันขึ้นมาก น่ากังวล สิ่งที่เราจะต้องทำกัน 90% จริงๆ และระยะยาวที่ต้องให้ความร่วมมือ หลายคนบอกจะเปิดประเทศ เปิดสนามบินเมื่อไร ต้องดูกราฟสถานการณ์เหล่านี้เอามาตัดสินใจ ต้องดูแลคนของเราและเศรษฐกิจ อะไรมาก่อนมาหลัง” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว