เสวนาเอาตัวรอดจากเหตุกราดยิง แนะไปในที่ชุมชนต้องสนใจสิ่งรอบข้าง หากเกิดเหตุต้องยึดหลัก หนี ซ่อน ช่วย ย้ำหากมีคนเจ็บต้องช่วยห้ามเลือด ช่วยลดอัตราเสียชีวิตลงได้ อย่าใช้ทิชชู อย่ากดปิดบาดแผลแล้วเปิดมาดู จะยิ่งทำให้เสียเลือด ห่วงสมองส่วนคิดทำงานไม่ทันสมองส่วนกลัว ต้องมีสติ ประมวลสถานการณ์และหาทางออกจากเหตุการณ์ พบในสหรัฐฯ คนก่อเหตุส่วนใหญ่ไม่ได้เตรียมแผนการ 46% ถูกวิสามัญ 40% ฆ่าตัวตายหลังก่อเหตุ
วันนี้ (11 ก.พ.) ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มีการจัดเสวนาเรื่อง “Escape and Survive in Mass Shooting” จากกรณีเหตุการณ์กราดยิงที่ จ.นครราชสีมา เพื่อให้ความรู้แก่แพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนทั่วไป เมื่อต้องเผชิญเหตุการณ์ความรุนแรง โดย พ.อ.นพ.ณัฐ ไกรโรจนานันท์ ศัลยแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กล่าวว่า การกราดยิงเป็นหนึ่งในการสังหารหมู่ จากข้อมูลการกราดยิงที่เคยเกิดในสหรัฐอเมริกา ส่วนใหญ่ไม่ได้มีการเตรียมแผนการ ทำในเวลาสั้น เร็ว ไม่มีภาวะที่จิตสงบ สุดท้ายคนก่อเหตุ 46% จบด้วยการถูกวิสามัญ 40% ฆ่าตัวตายหลังก่อเหตุเสร็จ และประมาณ 10% สามารถสงบสติและยอมจำนนเข้าสู่การดำเนินคดี และจากการศึกษาข้อมูลการกราดยิงที่สหรัฐฯ ซึ่งมีนักวิชาการรวบรวมไว้ โดยศึกษาย้อนหลัง 12 ปี พบว่า อาวุธปืนที่ใช้มีหลากหลาย คนที่เสียชีวิตทันทีมักโดนยิงที่ศีรษะหรือหน้าอก คิดเป็น 77% แต่ส่วนใหญ่ถูกยิงที่ขาหรือแขน ในส่วนนี้ไม่ถึงกับเสียชีวิต แต่น่าเสียดายว่า หากไม่ได้รับการปฐมพยาบาล ห้ามเลือดก็ทำให้เสียชีวิตได้ ซึ่งกรณีที่เสียชีวิตเพราะเสียเลือดมาจากการถูกยิงเข้าที่แขน ขา อยู่ที่ 20%
รศ.นพ.รัฐพลี ภาคอรรถ รองผอ.รพ.จุฬาฯ และอาจารย์ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ รพ.จุฬาฯ กล่าวว่า เวลาไปในที่ชุมชน อยากจะขอให้ประชาชนให้ความสนใจกับสิ่งรอบข้าง หากพบสิ่งผิดปกติ เช่น เสียงดัง “ปัง” แม้ว่าจะเป็นเสียงปะทัดก็ขอให้สังเกต อาจจะเป็นเสียงปืน และดูผู้คนว่ามีเสียงหวีดร้อง แตกตื่นหรือไม่ หากได้ยืนเสียงปังมาจากทิศทางเดียวอาจจะมีคนก่อเหตุ 1 คน หากเสียง “ปัง” หลายครั้งในหลายทิศทางอาจจะมีการต่อสู้กัน เมื่อเป็นแบบนี้เราต้องรู้ว่าจะหนีไปทางไหน สิ่งที่เราต้องคิด คือ “หนี ซ่อน ช่วย” คือหนีไปจากสถานการณ์เพื่อไปซ่อนตัวในที่ปลอดภัย อย่าห่วงข้าวของ ปิดไฟมืด ปิดเสียงโทรศัพท์ ล็อกประตู ใช้ของหนักขวางไว้แอบหลังโต๊ะ ตู้ที่แข็งแรง เมื่อเราปลอดภัยแล้วประเมินว่า เราสามารถช่วยคนอื่นได้หรือไม่ ทั้งนี้ กรณีกราดยิง อาจจะเคียดแค้นสังคม จะมีลักษณะการเก็บแต้ม ฆ่าให้เรียบ ให้ได้เยอะที่สุด ดังนั้น ประชาชนที่หลบหนีอย่าไปกระจุกตัว หากมีการกระจุกตัว แล้วคนร้ายเห็นจะเลือกกลุ่มที่มีจำนวนคนเยอะ
ผศ.นพ.กฤตยา กฤตยากีรณ ศัลยแพทย์ รพ.จุฬาฯ กล่าวว่า ในสถานการณ์อันตรายเราต้องช่วยเหลือตัวเองก่อน จากนั้นขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ และหากสถานการณ์ปลอดภัยมากขึ้นก็พยายามช่วยเหลือคนอื่น ซึ่งสิ่งที่ประชาชนทำได้อย่างน้อยๆ คือ การห้ามเลือดในจุดที่ไม่อันตราย เช่น ช่วยคนถูกยิงที่แขน ขา โดยต้องหาแผลให้เจอ หากแผลเล็กให้ใช้มือ 2 ข้างอุดที่ปากแผลให้แน่นรอจนกว่าจะมีผู้มาช่วยเหลือ หากแผลขนาดใหญ่ ให้ใช้ผ้าสะอาดที่พอหาได้ยัดไปที่บาดแผลและใช้มือทั้ง 2 ข้างกดทับ เพื่อทำให้เส้นเลือดหดตัว และเลือดหยุดไหล อย่างไรก็ตาม ห้ามกดแล้วยกออกเพื่อดูแผลเพราะจะทำให้เลือดพุ่งทะลัก ซึ่งทุกครั้งที่เอามือออกจะทำให้ผู้ป่วยเสียเลือดได้มากถึงครั้งละ 1 ลิตร และเสียชีวิตได้ และอย่าใช้ทิชชูเพราะจะทำให้เปื่อยไปกับแผล ทั้งนี้ที่สหรัฐฯ มีการสอนประชาชนปฐมพยาบาลห้ามเลือดพบว่าช่วยลดการเสียชีวิตจากการเสียเลือดได้มาก
ผศ.นพ.ณัทธร ทิพย์เสถียร จิตแพทย์ประจำภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เวลาเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงจะมีการส่งข้อมูลไปยังสมอง 2 ส่วน คือ สมองส่วนของความกลัว และสมองส่วนคิด แต่ทั้ง 2 ส่วนจะได้รับข้อมูลไม่พร้อมกัน โดยในส่วนของความกลัวจะได้รับก่อน ทำให้คนมีปฏิกิริยาสะดุ้ง ผวา เร็วกว่าประมาณครึ่งวินาที ก่อนที่สมองส่วนประมวลผลจะทำงาน แต่การตื่นเต้นจะอยู่สักระยะ แต่หากความรุนแรง เกิดขึ้นต่อเนื่อง สมองส่วนความกลัวจะถูกกระตุ้นตลอด ทำให้สมองส่วนคิดทำงานไม่ทัน ทำให้คนตื่นกลัว ภาวะระบบประสาทอัตโนมัติทำงานมากกว่าปกติ หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น เริ่มเหงื่อออก เป็นภาวะตื่นตัวอย่างมาก และสภาวะการรับรู้เริ่มแปรปรวน เริ่มมึนงง ไม่รับรู้รอบข้าง บางคนสติหาย ลืมเหตุการณ์ ซึ่งเป็นปรากฎการณ์เวลาอยู่ในสถานการณ์ที่น่ากลัว
"สิ่งที่เราต้องมีคือสติ เอาความเป็นตัวเองกลับมา โดยใช้หลักการกำหนดลมหายใจ ในสถานการณ์ตึงเครียด หายใจเข้าลึกๆ และพ่นลมออกมาโดยหายใจออกนานกว่า เพราะเวลาเราตื่นเต้นแล้วเราจะหายใจเร็วขึ้น เมื่อทำให้การหายใจให้ชาลงจะค่อยๆ สงบลง ส่วนการทำให้จิตใจที่ล่องลอยกลับมาสู่ปัจจุบัน ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับประสาทสัมผัส ก็ลองหันไปดูรอบๆ ตัว มีคนกี่คน หญิงชายกี่คน เอามือไปสัมผัส สังเกตผิวสัมผัส และคิดตาม เท้าเหยียบพื้น ผิวสัมผัสเป็นอย่างไร หากเบลอมากก็เหยียบแรงๆ นี่เป็นการเรียกสติให้กลับมาปัจจุบัน เมื่อร่างกายสงบลง สมองส่วนคิดได้ถึงจะกลับมา และจะเริ่มประมวลสถานการณ์ จำนวนคน ทางออกจากเหตุการณ์นั้นๆ" ผศ.นพ.ณัทธร กล่าว
ผศ.นพ.ณัทธร กล่าวว่า สิ่งเหล่านี้เราสามารถฝึกฝนได้จากการนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ การเล่นโยคะ สามารถทำได้ต่อเนื่องเวลาเกิดต้องเผชิญเหตุความรุนแรงก็จะเรียกสติได้เร็ว ลดความตื่นตระหนก จึงอยากให้ประชาชนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ นอกจากนี้ การซ้อมแผนเผชิญเหตุความรุนแรงต่างๆ อย่างสม่ำเสมอก็ช่วยให้เราหาทางออกได้เร็ว เพราะเหมือนกับว่าเราคุ้นชินกับสถานการณ์ แต่ต้องทำอย่างจริงจัง ไม่ใช้ซ้อมแผนแผนไป ยิ้มหัวเราะไป โดยสามารถซ้อมแผนอพยพจากหลายสาเหตุมาผนวกกันได้ เช่น ไฟไหม้ ระเบิด กราดยิง อย่างไรก็ตาม หลังต้องเผชิญเหตุการณ์ที่เลวร้ายมา ต้องได้รับการดูแลสภาพจิตใจที่เหมาะสม เพราะบางคนอาจจะมีภาวะเครียดรุนแรงหลังเหตุการณ์ (PTSD) หากไม่ได้รับการดูแลอาจจะทำให้ป่วยทางจิตเวชเรื้อรังได้ ซึ่งเราพบว่ามีความสัมพันธ์กับโรคซึมเศร้า และการใช้สารเสพติด ทั้งนี้ การรักษา PTSD มีหลายวิธี อาทิ จิตบำบัด การใช้ยารักษา เป็นต้น