ผู้เชี่ยวชาญยัน เชื้อไข้หวัดนก H5N1 ที่ระบาดใกล้เมืองอู่ฮั่น ไม่มีการข้ามไปผสมกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เหตุเป็นคนละกลุ่มละพวก ผสมข้ามกันไม่ได้ ชี้เชื้อ H5N1 รุนแรงสูง อัตราตาย 60% โอกาสแพร่ระบาดใหญ่ยาก เผยขณะนี้ยังติดในสัตว์ปีก และเดินหน้ามาตรการทำลายสัตว์ปีกแล้ว
วันนี้ (2 ก.พ.) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีการพบเชื้อไข้หวัดนก H5N1 ที่มณฑลหูหนาน ซึ่งติดกับมณฑลหูเป่ย ที่เป็นจุดศูนย์กลางการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ว่า การเจอเชื้อตอนนี้เจอในสัตว์ปีก ก็ใช้ตำราเดิม คือ ถ้าเจอในสัตว์ปีกเมือไรก็ต้องทำลายให้หมด และไปดูเมืองข้างเคียงว่ามีหรือไม่ หากมีการติดเชื้อในสัตว์ปีกก้ต้องทำลายให้หมดเช่นกัน และยังมีการทำความสะอาดด้วย ส่วนข้อสงสัยว่าเชื้อไข้หวัดนก H5N1 จะมาผสมปนเปกับโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หรือไม่ ต้องบอกว่าเป็นเชื้อไวรัสคนละกลุ่มที่ไม่สามารถผสมกันได้
นพ.ทวีกล่าวว่า ส่วนเชื้อไข้หวัดนก H5N1 ถือว่ามีความรุนแรง อัตราการเสียชีวิตในคนอยู่ที่ 60% แต่โรคที่มีอัตราตายสูงๆ มักไม่ค่อยระบาดหรือไม่ระบาดใหญ่ เพราะเป็นแล้วเสียชีวิตก็เผาเลย ยกเว้นว่าเมื่อไรที่ความรุนแรงลดลงเรื่อยๆ จนไปผสมเชื้อไข้หวัดใหญ่ธรรมดาประจำปีแบบนั้นจะเกิดเรื่อง ซึ่งนี่เป้นบทเรียนเก่าของไทย
นพ.ทวีกล่าวว่า สำหรับกรณีการติดเชื้อโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 และเชื้อไข้หวัดใหญ่ จะทำให้รุนแรงมากขึ้นหรือไม่ ทั้งนี้ การมี 2 เชื้อในที่เดียวกันก็มีโอกาสที่จะรุนแรงมากขึ้น แต่ทางการแพทย์จะสงสัยทำไมคนเราโชคร้ายเกิดรับขึ้นมาทั้งสองเชื้อ ในฐานะแพทย์ผู้ดูแลก็ตองตรวจสอบว่า ภูมิคุ้มกันอาจไม่ค่อยดี เช่น ภูมิคุ้มกันบกพร้องหรือไม่ กินยาสเตียรอยด์หรือไม่ มีโรคประจำตัวหรือไม่ อายุเท่าไร เพราะอายุยิ่งสูงภูมิคุ้มกันยิ่งต่ำ ทั้งนี้ หลายคนรู้สึกว่าตัวเองมีความเสี่ยงต่อเชื้อโคโรนาจึงมาขอรับการตรวจยืนยันเชื้อ ซึ่งหากไม่เข้าเกณฑ์สอบสวนโรคก็ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่ถ้าเข้าหลักเกณฑ์เรารับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด สำหรับการตรวจส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดใหญ่ โดยเป็นเชื้อโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เพียง 5%